วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553

บาร์เซโลน่าที่แข็ง แกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์



ประโยคคำว่า "นี่คือบาร์เซโลน่าที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์" เป็นประโยคที่กล่าวออกมาจากกัปตัน คาร์เลส ปูโยลและซาบี้ เฮอร์นันเดส 2 ผู้นำของทีมเบลลากราน่าในทีมปัจจุบัน ที่กล่าวถึงการซื้อตัวผู้เล่นเข้ามา 4 คนได้แก่ ยาย่า ตูเร่, เอริค อบิดัล, กาเบรียล มิลิโต้ และเธียร์รี่ อองรี แน่นอนไม่เป็นคำกล่าวเกินจริงเท่าไรนักถ้าดูรายชื่อนักเตะในทีม ทุกคนเรียกว่าระดับเวิร์ลคลาสทั้งนั้น อาจจะมีเพียงชื่อบิคตอร์ บัลเดสที่ระแคะระคายสายตาของแฟน ๆ บาร์ซ่า

แต่คำว่าแฟนตาสติกโฟว์ ที่คนทั้งโลกอยากเห็นปัจจุบันก็ยังไม่ได้ยลกันสักครั้ง เมื่อเมสซี่ไปเตะฟุตบอลชิงแชมป์อเมริกาใต้ก่อนช่วงเปิดซีซั่น เอโต้ชิงเจ็บตอนเปิดฤดูกาลลาลิก้า โรนัลดินโญ่มีอาการบาดเจ็บเรื้อรังต่อเนื่องและมรสุมจากสื่ออย่างหนัก อองรีเจ็บกลางซีซั่น เอโต้ไปแอฟริกันเนชั่นคัพเมื่อหายเจ็บ และเป็นเมสซี่ที่เพิ่งเจ็บหนักและพักอยู่ในปัจจุบัน เรียกได้ว่าขนาดให้ 4 คนมีชื่อในทีม 18 คนก็แทบไม่มีโอกาสเลยสักครั้ง ตอนนี้ขอแค่มีสับเปลี่ยนใช้งานให้ได้ 3 คนก็ทำให้แฟนบาร์ซ่าใจชื้นเต็มทีแล้วละ

แม้ปัญหาการบาดเจ็บจะรุมเร้าทีม บาร์ซ่า แต่ปัญหาที่ในขณะนี้บาร์ซ่ารั้งรองจ่าฝูงมาถึงนัดที่ 30 แล้วก็ยังคงตามรีลมาดริดอยู่ 4 แต้มเป็นปัญหาที่ไม่น่าจะเกิดกับทีมที่"แข็งแกร่งที่สุดในประวัติ ศาสตร์"อย่างที่ 2 ผู้นำบาร์ซ่ากล่าวอ้างได้เลย และเมื่อพินิจดูแล้วปัญหาเกิดฟอร์มการเล่นทีมเยือนแย่ชัดเจนเมื่อเก็บชัยชนะ ได้เพียง 4 นัดจาก 14 นัดเท่านั้น ถึงแม้จะแพ้แค่ 3 นัด เสมอ 7 นัด ส่วนใหญ่แล้วเป็นการแพ้และเสมอที่ทีมนำอยู่ดี ๆ มาโดนท้ายเกมส์และแก้ไม่ได้เรื่อยไป เมื่อมานั่งวิเคราะห์ปัญหาจริง ๆ แล้ว นั่นคือทุกทีมรู้ว่าจเล่นกับบาร์เซโลน่าอย่างไรในบ้านของเขาเอง สูตร 4-3-3 ไรจ์การ์ดกลายเป็นสูตรสำเร็จที่ตายตัวและเป็นสูตรที่โค้ชทุกทีมสโมสรยุโรป รู้จักและรู้จุดอ่อนจุดแข็งทุกอย่าง ดีไม่ดีรู้มากกว่าไรจ์การ์ดเองด้วยซ้ำ โดยเจ้าของสูตรแก้ทางคงไม่พ้นทีมเชลซีที่ตอนนั้นมีมูรินโญ่คุมทีม และทุกทีมก็ใช้สูตรแก้นี้หมด เลยเป็นสาเหตุให้บาร์ซ่าที่ยังใช้การเล่นแบบเดิม แก้เกมส์แบบเดิมหาชัยชนะได้อย่างยากเย็นแสนสาหัสเมื่อไปเยือนทีมที่เขารอการ ต้อนรับด้วยสูตรแก้ 4-3-3 ดังนั้นชัยชนะ 4 นัดในเกมส์เยือนที่บาร์ซ่าได้มาก็ได้มาจากการขย่มทีมอ่อน ๆ ด้วยฝีมือเฉพาะตัวของนักเตะชั้นอ๋อง หรือลูกยิงช่วยชีวิตท้ายเกมส์จากซาบี้เรื่อยไป

เห็นได้ว่าแม้บาร์ซ่าจะมีชื่อผู้ เล่นชั้นยอดทั้งทีม แต่ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จเสมอไป นอกจากสูตร 4-3-3 เริ่มจะแป้กแล้ว ผู้เล่นแต่ละตำแหน่งกลับไม่สมดุลกันอีก ผิดกับปี 2005 ที่บาร์ซ่าฉลองดับเบิ้ลแชมป์มา ทั้ง ๆ ปีนั้นชื่อชั้นผู้เล่นก็ธรรมดา ๆ และเมสซี่เจ็บยาวไปค่อนปี แต่การลงตัวของสูตร 4-3-3 กับนักเตะเป็นสมการที่ทำให้บาร์ซ่าของไรจ์การ์ดเป็นดรีมทีมรุ่นที่ 2 ต่อจากทีมของโยฮันครัฟต์เมื่อคว้าแชมป์ยุโรปให้บาร์ซ่าหนแรก สมการตอนนั้นคือ 4-3-3 ที่มีหัวใจหลักแตกต่างกับปัจจุบันคือผู้เล่นสำรองที่พลิกเกมส์ได้อย่าง ชูลี่และลาร์สสัน

ปี 2005 ที่บาร์เซโลน่าคว้าแชมป์ลาลิก้าโดยทิ้งมาดริดร่วม 13 แต้มก่อนฉลองแชมป์ บาร์ซ่าไร้ตัวหลักอย่างเอ็ดมิลสัน และเมสซี่ที่เจ็บยาวต้องพัก 4 เดือน แต่การเจ็บของท้งคู่ทำให้ทีมบาร์ซ่าลงตัวไปกว่าที่มีเสียอีก เมื่อโกล์ บัลเดส เข้าฝักโชว์ฟอร์มเยี่ยมมาตลอดการันตีด้วยรางวัลซาโมร่า แผงหลังอย่างปูโยล มาร์เกซแน่นหนาแข็งแกร่งด้วยแบคอย่างโอเลเกร์และจิโอที่รักษาตำแหน่งได้ดี เอามาก ๆ และสามารถเปลี่ยนเอาเบลเลตติและซิลวิญโญ่แบคจอมบุกทำเกมส์บุกแก้เกมส์ได้ทุก ครั้งผิดกับปัจจุบันที่แผงหลังรั่วได้ใจทั้ง ๆ ดีกรีแผงหลังในปัจจุบันมีชื่อชั่นระดับสูงกว่าแท้ ๆ

ในขณะที่ตอนนั้นแดนกลางที่มีซาบี้ และอิเนสต้าเก็บบอลครองบอลให้กับทีมและมีเดโก้คอยบุกทำให้เกมส์ลื่นกว่า ปัจจุบันที่ไรจ์การ์ดไม่ใช้งานเดโก้เท่าไรนักเนื่องจากบาดเจ็บบ่อยครั้งและ การเข้ามาของตูเร่และฟอร์มเทพของอิเนต้าและซาบี้ แต่กลับกลายเป็นว่าแดนกลางตัวทำเกมส์อย่างซาบี้ และอิเนสต้าไม่ถนัดทำเกมส์บุกเร็ว ทำให้กองกลาง 3 คนไม่สร้างสรรค์เกมส์เร็วได้เลย ไม่แปลกที่ฝ่ายตรงข้ามจะยกพลไปป้องกันฝั่งตัวเองได้หมดในขณะที่ซาบี้และอิ เนสต้าคอยวนรักษาบอลและมองหาเพื่อน ๆ ข้างหน้าเพลินบ่อยครั้ง อิเนสต้ามีนิสัยล็อควนหลบ ครองบอลเลิศ แต่ยิงไกลระดับลีกเอเชียกับซาบี้ที่ติดกับสโลแกนของตัวเองเครื่องจักรจ่าย ลูกที่แม่นยำ ถ้าไม่ชัวร์จริงไม่จ่าย ผิดกับเดโก้ ซูซ่า ไดนาโมแดนกลาง ไม่เคยสนใจเรื่องหยุมหยิมอย่างครองบอล จ่ายบอล พี่แกบุกอย่างเดียว ได้บอลเลี้ยงบุก ได้บอลรีบจ่ายไกล จึงมักเห็นพี่แกทำบอลหลุดหลายครั้งไม่ว่าจะจ่ายพลาดหรือเลี้ยงเพลินไปยังดง ศัตรู แต่ถ้าคิดดูดี ๆ เกมส์บุกที่มีประสิทธิภาพจากกลางทุกลูกมาจากชายชื่อเดโก้ แม้กระทั่งลูกฟรีคิก พี่แกไม่เป็นรองแม้กระทั่งโรนัลดินโญ่ ฟรีคิกเกอร์ของทีมด้วยซ้ำ

ปัจจุบันอนาคตเดโก้กลับไม่แน่นอน เมื่อการเข้ามาของ 4 กายสิทธิ์ หรือการแฉของเอ็ดมิลสันที่ว่า"แกะดำ" ของทีมบาร์ซ่าเป็นผู้เล่นที่เล่นในตำแหน่งบุกและรับได้ ซึ่งคิดพิจารณาแล้วก็มีเพียง 3 คนในทีมที่เล่นตำแหน่งที่ว่านั้นได้ แน่นอนว่าใคร ๆ ก็เล็งมาที่เดโก้มากกว่า 2 ลูกหม้ออย่างซาบี้และอิเนสต้า รวมทั้งฟอร์มที่ยอเยี่ยมของอิเนสต้าและซาบี้ที่ทำให้ตำแหน่งตัวจริงของเดโก้ ไม่ได้รับการการันตี แต่ถ้าคิดดี ๆ แล้ว อิเนสต้าและซาบี้มีฟอร์มคล้ายกันเกินไปโดยเฉพาะการครองบอลที่เหนียวแน่น แต่จะแตกต่างกันที่คนหนึ่งจ่ายลูกแม่นและยิงไกลดี อีกคนเลี้ยงฝ่าได้เยี่ยมแต่ยิงแถว 2 แย่ และเดโก้คือมิดฟิลด์ที่วิ่งขึ้นลงทั้งเกมส์ บุกตลอด ยิงไกลเยี่ยม ฟรีคิกแจ่ม ซึ่งทั้ง 3 คนมีจุดเด่นด้อยคนและแบบ แต่ปัจจุบันสมดุลเสียเมื่อไม่มีมิดฟิลด์อย่างเดโก้ที่ทำเกมส์บุกได้เร็วที่ สุด จนอดีตนักเตะเทวดาอย่างโยฮัน ครัฟต์ออกมาด่ากองกลางบาร์ซ่าเลยว่า"ทำเกมส์ช้ามาก" ฉะนั้นการครองบอลที่บาร์ซ่าจะครองเหนือกว่าคู่ต่อสู้ทุกครั้ง มากกว่าครึ่งคือการเคาะบอลของแผงหลังและครองบอลอยู่กับที่ของกองกลาง และก็ตามสูตรเมื่อบอลแผงกลางปล่อยช้า แผงหน้าของบาร์ซ่าก็ขึงรอเก้อ กลับกลายว่าการเล่นไดเร็คของบาร์ซ่าคือการใช้ความสามารถของกองหน้าบาร์ซ่า ทั้ง 3 เลี้ยงผ่านแผงหลัง+แผงกลางคู่ต่อสู้นั่นเอง

กลับมาที่แผงหน้า เมื่อสมัยปี 2005 บาร์ซ่าที่ขาดเมสซี่ไปแต่ยังคว้าแชมป์ยุโรปสบาย ๆ เพราะมีชูลี่กับลาร์สสัน บาร์ซ่าในปัจจุบันขาดตัวทำลายไลน์ฝั่งตรงข้าม มีเพียงเอโต้เท่านั้น แต่เอโต้ก็เล่นได้ดีอยู่ตรงกลาง ซึ่งสมัยนั้นมีชูลี่ ปีกตัวจี๊ดวิ่งรับบอลโยนยาวด้วยตำแหน่งการรักษาไลน์ยอดเยี่ยมมาก จึงไม่แปลกที่เห็นชูลี่รับบอลจากเส้นข้างและบุกไปเส้นหลังและเปิดเข้ากลาง ให้เอโต้ รอนนี่หรือลาร์สสันทำประตูบ่อยครั้ง แต่ปัจจุบันไม่มีใครทำแบบชูลี่ได้ เอโต้ยืนริมเส้นก็ไม่ถนัดถนี่ อองรีกับเมสซี่ต้องอาศัยเทคนิคเลี้ยงฝ่าไป ซึ่งหลายครั้งจะโดนซ้อน โดยเฉพาะของเมสซี่โดนซ้อนทางซ้าย เจ้าหนูนี่ก็ไปไม่เป็นเหมือนกัน ในขณะที่ปัจจุบันอาวุธลูกโด่งก็ขาดไปเห็นได้ชัด เกมส์โยนแล้วโหม่งจึงลดตามไปผิดกับเจ้าเวหาอย่างลาร์สสัน ยิงคม เทคนิคเยี่ยม โหม่งยอด และเมื่อพิจารณาแล้ว กองหน้าท้งหมดไม่ว่าโรนัลดินโญ่ เมสซี่ เอโต้ อองรี กุ๊ดยอห์นเซ่น โบยาน โจวานนี่ก็ไม่สามารถเล่นได้หลากหลายเท่ากับช่วงที่มีชูลี่และลาร์สสันคอยสับ เปลี่ยนลงมา ซึ่งดูแนวโน้มแล้ว เจ้าหนูโจวานนี่ ดอสซานโตสมีท่าทีอนาคตจะเป็นปีกตัวจี๊ดเล่นได้คล้ายชูลี่มากสุด

การซื้อตัวผู้เล่นและการดันเยาวชน ขึ้นมาในปีนี้ ถ้าจะให้คะแนนแล้ว คงให้คะแนนตามนี้คือ ตูเร่>อบิดัล>มิลิโต้>อองรี ... จริง ๆ แล้วมิลิโต้ตอนหลังก็เล่นได้ไม่สมฟอร์มเท่าไรนัก ผิดกับอองรีที่เริ่มเข้าใจเกมส์มากขึ้นแล้ว กลายเป็นพ่อพระแอสซิสต์มากขึ้น แต่ด้วยค่าตัวและค่าเหนื่อยที่เป็นรองแค่โรนัลดินโญ่ ฟอร์มแบบนี้ก็ยังไม่ผ่านเท่าไรนัก อบิดัลเองก็สอบผ่าน แต่ความเก๋ายังไม่เหนียวเท่าจิโอแบคคนเก่า มีเพียงตูเร่ที่สอบได้คะแนนดี และน่าจะเป็นตัวหลักของทีมได้อีกนาน และการดันเยาวชนขึ้นมาได้แก่โบยานและโจวานนี่ ดอสซานโตส ก็ถือว่าโอเคระดับหนึ่ง เพียงแต่ว่าในรายของโบยานกลับกลายเป็นตัวหลักที่จะดันมากกว่าโจวานนี่ ซึ่งเป็นเพราะโจวานนี่บาดเจ็บในช่วงสำคัญและเล่นบอลชายเดี่ยวมากเกินไป จริง ๆ แล้วกุญแจการแก้เกมส์ด้วยดาวรุ่งน่าจะอยู่ที่โจวานนี่ด้วยซ้ำด้วยความเร็ว และการเลี้ยงริมเส้นที่ยอดเยี่ยม ซึ่งฟอร์มโบยานเองก็ละม้ายคล้ายสไตเกอร์รุ่นพี่มากกว่าจะมาเล่นริมเส้น

อ่านถึงตรงนี้หลายคนคงอยากรู้ว่า ปลายฤดูกาลจะเป็นเช่นไรเมื่อ 1 ใน 3 ของรางวัลหายไปแล้ว เหลือเพียงลาลิก้าและ UCL ถ้าเป็นที่พรีเมียร์ลีก อาจจะตัดทีมบาร์ซ่าออกจากสารบบนานแล้ว แต่ที่สเปนมีทีมแข็งแกร่งและระบบการเล่นที่ทีมใหญ่ ทีมเล็กมีลุ้นกันได้ตลอด มีที่ไหนที่ทีมแชมป์ลีกจะเป็นแชมป์ได้ด้วยการแพ้ถึง 8 ครั้ง ก็เห็นมีแค่ลีกลาลิก้านี่ละครับ ถ้าพรีเมียร์ลีกแพ้แค่ 3-4 ครั้งก็เลิกฝันคำว่าแชมป์แล้ว สรุปก็ไปสู้กันเองกับ 4 ทีมใหญ่มากกว่า แต่ลีกลาลิก้าพลกผันได้ตลอด ปัจจุบันมาดริดคืนฟอร์ม แพ้ 5 ใน 8 นัดหลังสุด ผลรวมก็แพ้ไป 8 หนแล้ว ในขณะที่บาร์ซ่าแม้เสมอบ่อย แต่แพ้ยากโดยแพ้ 5 ครั้งถือว่าแพ้น้อยสุดในลีก แต่ฟอร์มนอกบ้านนี่สิ ชนะแค่ 4 ครั้ง เป็นชัยชนะนอกบ้านที่เท่ากับทีมบายาโดลิดที่ดิ้นรนหนีตกชั้นอยู่ในขณะนี้เลย ต่อไปนี้ลาลิก้าคงวัดกันแล้วว่ารีลมาดริดจะเลิกพลาดได้ก่อน หรือบาร์ซ่าจะแก้ไขการเล่นนอกบ้านได้ก่อน และการแข่งด้วยกันช่วงท้ายฤดูกาลคงเป็นคำตอบของแชมป์ลาลิก้าแน่นอน ในขณะที่ถ้วยแชมป์เปี้ยนลีก น่าจะวัดกันที่ความนิ่งและเก๋าของบาร์ซ่ากับเกมส์ที่จะเจอกับชาลเก้ นั่นหมายความว่าอนาคตทั้ง 2 รายการน่าจะขึ้นอยู่กับตัวเองมากที่สุดแล้วละ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น