วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553

หรือเขาคือมนุษย์ต่างดาว ลิโอเนลเมสซี่!?



"40 วินาที"

ราว กับชื่อของเด็กหนุ่มที่มีความฝันโดนจดลงในสมุดแห่งความตายไป 40 วินาที และก็จบสิ้นลงราวกับชีวิตของเขาได้โดนยมฑูตพรากเอาไปแล้ว

เด็ก หนุ่มที่มีความฝันว่าจะได้มายืนในสถานที่ที่วีรบุรุษเปรียบเสมือนพระเจ้าของ เขาอย่างได้ภาคภูมิครั้งแรกของชีวิต กลับมีชีวิตในเวทีแห่งนั้นเพียง 40 วินาที

เวที แห่งนั้นคือฟุตบอลทีมชาติอย่างเป็นทางการของทีมชาติอาร์เจนติน่า และเด็กหนุ่มที่ลงสนามภายใต้เสื้อทีมชาติชุดใหญ่ครั้งแรกกลับยืนบนสนามได้ เพียง 40 วินาทีก่อนโดนใบแดงไล่ออกจากสนามอย่างน่าชี ช้ำที่สุด และเขาก็เดินออกจากสนามด้วยน้ำตา

ชื่อ ของบุรุษที่พระเจ้าไม่รักคนนั้นคือ "ลิโอเนล เมสซี่"

เมื่อ ตอนที่แล้ว ลิโอเนล เมสซี่ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจเป็นพระเจ้าให้กับหลายๆ คนไปแล้ว แต่สำหรับคู่แข่งที่ต่อกรกับเมสซี่นั้น เขาเปรียบเสมือนมนุษย์ต่างดาวดี ๆ นี่เอง อย่างว่าคนธรรมดาชาวโลกที่ไหนจะต่อกรกับมนุษย์ต่างดาวได้กันละ

ก่อน ที่เมสซี่จะถูกยกย่องว่ามีฝีเท้าอันอันดับหนึ่งของโลก ย้อนไปสมัยที่เมสซี่ได้เล่นให้กับบาร์เซโลน่าชุดใหญ่อย่างเป็นทางการ เมื่อเมสซี่พาทีมอาร์เจนติน่าคว้าแชมป์ U-20 และ ได้รับฉายานิวมาราโดน่า บาร์เซโลน่าที่นำทีมโดยแฟร้งค์ ไรจ์การ์ดก็เตรียมดันเจ้าหนูอัจฉริยะรายนี้เล่นทีมชุดใหญ่อย่างเป็นทางการ ทันที แต่วงการบอลสเปนย่อมมีมาเฟียขาใหญ่ เมื่อมีทีมจากลาลิก้าอย่างต่ำ 5 ทีมโดยมีทีมอย่างเรอัล มาดริดที่อยู่เบื้องหลังยื่นเรื่องว่าลิโอเนล เมสซี่ขาดคุณสมบัติการเล่นให้กับทีมบาร์เซโลน่าด้วยกฎผู้เล่น non-EU ที่บาร์ซ่ามีถึง 3 คนไปแล้วสมัย นั้น [โรนัลดินโญ่ เอโต้และมาร์เกซ] ซึ่งจริง ๆ แล้วเมสซี่เป็นเด็กปั้นของบาร์เซโลน่าและใช้ชีวิตอยู่ในสเปนมากกว่า 5 ปีซึ่งมีสิทธิเล่นได้ตามกฎโฮมโกรห์น แต่ช่วงที่ทีมเรอัล มาดริดที่อิทธิพลเหนือทีมอื่นในลาลิก้าในสมัยนั้น ทำให้ทีมบาร์เซโลน่าจำยอมไม่เสี่ยงเมสซี่ลงเล่นในรายการลาลิก้าทั้งหมดจน กว่าจะได้ผลสรุปจากสมาพันธ์ฟุตบอล ทำให้เมสซี่เล่นได้แต่รายการยุโรปหรือแชมป์เปี้ยนลีกเท่านั้น

แม้ จะโดนอำนาจมืดหลายอย่างกลั่นแกล้ง แต่คนคำนวณมีหรือจะสู้ฟ้าลิขิตได้ เพียงแค่รายการแชมป์เปี้ยนลีกนั้นสำหรับพรสวรรค์ของลิโอเนล เมสซี่ก็ทำให้เขาโด่งดังขึ้นทันทีเพียงลงเล่นไม่กี่นัด การลากเลื้อยที่ไม่มีใครบนสนามหยุดได้ ประสานงานกับนักเตะอันดับหนึ่งอย่างโรนัลดินโญ่ ทำให้ในนัดที่แข่งกับอูดิเนเซ่ในปี 2005 เม สซี่ได้รับสแตนดิ้ง โอเวชั่นหรือการยืนขึ้นปรบมือทั่วทั้งคัมป์นูร่วม 7 หมื่นคนในทันที ทำให้ตอนนี้วงการฟุตบอลอาชีพทุกคนเริ่มจดจำลิโอเนล เมสซี่ไปแล้ว

และ แล้วสิ่งที่เมสซี่ภูมิใจที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตก็มาถึง เมื่อเทรนเนอร์ทีมชาติอาร์เจนติน่า โฮเซ่ เปร์เกมาน ได้เรียกเมสซี่ติดทีมชาติอาร์เจนติน่าชุดใหญ่เป็นครั้งแรก และแล้วเขาจะได้ใส่เสื้อทีมชาติเช่นเดียวกับวีรบุรุษของเขาอย่างดีเอโก้ มาราโดน่าแล้ว แต่โชคชะตาไม่เป็นใจ การลงสนาม ครั้งแรกของลิโอเนล เมสซี่ภายใต้เสื้อทีมชาติอาร์เจนติน่าที่เขาใฝ่ฝัน เขาใส่ลงสนามได้เพียง 40 วินาที เมื่อโดนใบแดงไล่ออกจากสนาม เพราะกรรมการเห็นว่าเมสซี่ชักศอกใส่คู่ต่อสู้ที่ดึงเสื้อเขาอย่างหนัก

ลิ โอเนล เมสซี่เดินออกจากสนามด้วยน้ำตาพร้อมกับความทรงจำที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต ครั้งหนึ่ง

25 กันยายน เมสซี่ได้รับพาสปอร์ตสเปนอย่างถูกต้อง แม้หลายทีมในสเปนพยายามขัดขวางเรื่องกฎโฮมโกรน แต่พาสปอร์ตสเปนก็ทำให้ลิโอเนล เมสซี่เล่นกับบาร์เซโลน่าได้ถูกต้องตามข้อตกลงทุกประการได้แน่นอน สามเหลี่ยมมหัศจรรย์เมสซี่-เอโต้และโรนัลดินโญ่ประกาศศักดาให้ทุกทีมลาลิก้า และทุกทีมยุโรปได้รู้ถึงความน่ากลัวอย่างสุดซึ่ง ในฤดูกาลนั้นลิโอเนล เมสซี่พาบาร์เซโลน่าคว้าชัยเหนือทีมเชลซีจากอังกฤษได้อย่างเหนือชั้น ด้วยการแย่งบอลจากเท้าของปีกตัวจี๊ดอย่างรอบเบน และเลี้ยงฝ่าไปจนต้องแทคเกิลทำฟาล์วซึ่งทำให้เดล ฮอร์โน่ได้รับใบแดงไล่ออกจากสนาม ณ วันนั้นทีมเชลซีเสียสถิติไม่แพ้ในบ้านเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี เล่นเอาโค้ชอย่างโชเซ่ มูรินโญ่หัวเสียหาเรื่องกับเด็กวัยเพียง 18 ปี ป้ายสีเมสซี่ต่างๆนาๆ เรื่องนี้ทำให้ทีมเชลซียุคมูรินโญ่เป็นศัตรูกับแฟนบอลบาร์เซโลน่าทั่วโลกไป ทันที ซึ่งแฟนบอลที่รักเมสซี่ต่างต้อนรับมูรินโญ่ด้วยการถ่มน้ำลายใส่รถบัสที่เขา นั่งตลอดทางจากที่พักถึงสนามคัมป์นู และเชลซีก็ตกรอบไปด้วยน้ำมือบาร์เซโลน่าในนัดนั้น หลังจากนั้นทีมบาร์เซโลน่าก็เป็นแชมป์ลาลิก้าและแชมป์เปี้ยนลีกในปีนั้นได้ อย่างยิ่งใหญ่ แม้ว่าช่วงหลังเมสซี่จะได้รับบาดเจ็บไป แต่แฟนบาร์เซโลน่าทุกคนรู้ว่าปีนั้นนอกจากโรนัลดินโญ่แล้ว ก็มีชายชื่อลิโอเนล เมสซี่เป็นฟันเฟืองสำคัญต่อความสำเร็จในครั้งนี้

ปี ถัดมา เมสซี่เจ็บตั้งแต่ต้นฤดูกาล และผลงานบาร์เซโลน่าก็ต่ำลงเนื่องจากเกมส์รุกของทีมมาถึงทางตัน แต่เมื่อเมสซี่กลับมาลงสนามอีกครั้ง เวทมนตร์ของเขาไม่หายไปไหนแถมยังทวีคูณขึ้นด้วยซ้ำ เขาสร้างปรากฎการณ์ที่แฟนทีมบาร์ซ่าและเรอัลมาดริดลืมไม่ลง เมื่อบาร์เซโลน่าเหลือ 10 คนต่อกรกับเรอัลมาดริด ด้วยสกอร์เป็นรอง แต่ลิโอเนล เมสซี่โชว์ฟอร์มพระเจ้าซัดแฮตทริคใส่เรอัลมาดริดสำเร็จในช่วงทดเวลา สร้างประวัติศาสตร์นักฟุตบอลที่อายุน้อยที่สุดที่ยิงแฮตทริคในเกมส์เอลคลาสิ โก้เลยทีเดียว

เวท มนตร์เมสซี่ยังไม่หมดเท่านั้น ฉายานิวมาราโดน่าตกเป็นของลิโอเนล เมสซี่ไปถาวรทันทีเมื่อเมสซี่ลงแข่งกับทีมเคตาเฟ่ เมสซี่ลากบอลครึ่งสนามหลบผู้เล่น 5 คนก่อน กระชากหลบโกล์ยิงประตูไปอย่างเหนือชั้น คล้ายคลึงที่พระเจ้าอย่างดีเอโก้ มาราโดน่าเคยทำกับทีมชาติอังกฤษแทบทุกกระเบียดนิ้วเพียงแต่เมสซี่ยิงด้วย เท้าขวาแทนเท้าซ้ายเช่นมาราโดน่าเท่านั้น

และ ยิ่งตอกย้ำความเสมือนไปอีกกับอีกหนึ่งลูกที่ระบือโลก เมื่อเมสซี่ทำ "แฮนด์ออ ฟก็อด" ใช้มือปัดบอลเข้าประตูทีมเอสปัญญ่อลผ่านหน้าผู้รักษาประตูไปต่อหน้าต่อตา คล้ายกับที่มาราโดน่าเคยทำเอาไว้ไม่ผิดเพี้ยน และเป็นลูกที่สร้างชื่อให้มาราโดน่าเป็นเทพบุตรลุกหนังลูกหนึ่งเสียด้วย แม้ฤดูกาลนี้จบที่บาร์ซ่าไม่ได้แชมป์ แต่ชื่อของลิโอเนล เมสซี่กลายเป็นชื่อที่นักฟุตบอลและแฟนบอลทั่วโลกไม่มีใครไม่รู้จักอีกต่อไป

ปี 2008 ลิโอเนล เมสซี่ได้รับเบอร์เสื้อหมายเลข 10 ของบาร์เซโลน่าแทนโรนัลดินโญ่อดีตนักเตะหมายเลข 1 ของโลก และผู้ที่สามารถสวมเสื้อหมายเลข 10 ของบาร์เซโลน่าได้ก็ต้องเป็นผู้ที่เก่งที่สุดในโลกเท่านั้น ไม่ผิดเพี้ยนเลยเมื่อเมสซี่พาทีมชาติอาร์เจนติน่าคว้าแชมป์โอลิมปิคได้และ สั่นสะเทือนวงการฟุตบอลทั่วโลกเมื่อพาทีมบาร์เซโลน่าด้วยการคุมทัพของโจเซฟ กวาร์ดิโอล่า ทำผลงานน่าทึ่งมากมายด้วยการเล่นฟุตบอลบุกที่ดีที่สุดในโลกจนใครๆก็ชื่นชม เพียงครึ่งฤดูกาลยิงประตูในลีกไป 59 ลูก เสีย 13 เก็บ 50 แต้ม นับว่ามากกว่าทีมใดในลีกลาลิก้าและลีกชั้นนำของยุโรป โดยเฉพาะลิโอเนลเมสซี่ที่เล่น 24 นัด ซัดไป 21 ลูก แอสซิสต์ไป 10 ลูก [ไม่รวมทำให้ทีมได้จุดโทษและให้เอโต้ยิงไปอีก 4 ลูก]

ฟอร์ม ของเขาตอนนี้ ทำให้นักฟุตบอลชั้นนำออกมาสนับสนุนว่าลิโอเนล เมสซี่เป็นนักเตะที่เก่งที่สุดในโลก บางคนถึงขนาดยกย่องเมสซี่ว่าเก่งที่สุดในประวัติศาสตร์โลกฟุตบอล บ้างก็บอกเมสซี่เก่งราวกับมาจากต่างดาว ไม่มีใครทราบว่าเมสซี่กับบาร์เซโลน่าจะไปไกลถึงไหน

เพียง แต่ว่าตอนนี้ไม่มีใครจะมาหยุดลิโอเนล เมสซี่และทีมบาร์เซโลน่าได้ หรืออาจจะต้องให้มนุษย์ต่างดาวมาช่วยหยุดไว้กระมัง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น