ฤดูกาล 2008/2009 ของเอฟซี บาร์เซโลน่านั้นนับเป็นฤดูกาลที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร ด้วยการเป็นสโมสรแรกในสเปนที่สามารถคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ได้ โดยได้ครองแชมป์ทั้งยูฟ่าแชมป์เปี้ยนส์ลีค โคปปา เดล เรย์ และ ลา ลีกา
และแม้ว่าผลงานอันสุดยอดนั้นจะได้มาด้วย ความที่ทีมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและการร่วมฝ่าฟันจนได้มาซึ่งรางวัลอันยิ่ง ใหญ่ แต่อีกสิ่งหนึ่งที่นำพาให้ทีมสามารถก้าวมาสู่ความยิ่งใหญ่ได้ก็คือผลงานอัน ยอดเยี่ยมของนักเตะฝีเท้าระดับโลก
ผลงานที่เข้าตาที่สุดอาจจะต้องยกให้ลูก ยิ่งแห่งโชคชะตาในช่วงทดเวลาบาด เจ็บของอันเดรียส อิเนียสต้าซึ่งส่งให้บาร์ซ่าได้ไปชิงแชมป์ถ้วย"บิ๊ก เอียร์" ที่กรุงโรม
แต่ในทีมบาร์ซ่านั้นยังมีนักเตะคนหนึ่งที่ สามารถสะกดสายตาของคนทั้งโลกไว้แทบเท้าด้วยผลงาน อันสุดยอดตลอดทั้งฤดูกาลนี้ นักเตะตัวเล็กๆเลือดอาร์เจนไตน์ที่มีเวทย์มนต์วิเศษแผ่ซ่านออกมาจากทุกท่วง ท่าลีลาเมื่ออยู่ในสนาม
นามของเขาคือ "ลีโอเนล เมสซี่"
ผลงานในฤดูกาลนี้ของเมสซี่นั้นยอด เยี่ยมบรรลือโลกจากการทำไปทั้งสิ้น 38 ประตูและ 24 แอสซิส ซึ่งเท่ากับว่าเขาได้รังสรร 62 ประตูจากทั้งหมด 156 ประตูที่บาร์ซ่าทำได้ในฤดูกาลนี้ในทุกรายการที่ลงเล่น นอกจากนั้นยังเป็นดาวซัลโวของแชมป์เปี้ยนส์ลีค ด้วยการพังไปทั้งสิ้น 9 ประตู
แค่เพียงเรื่องของสถิตินั้นยังไม่สามารถ อธิบายความยอดเยี่ยมของเขาได้ครบถ้วนนัก เพราะผลงานของเขาในเกมสำคัญๆกับทีมนั้นยกระดับขึ้นเรื่อยๆ โดยใน เอล คลาสสิโก้เกมแรกที่คัมป์ นู เมสซี่ถูกทำฟาล์วอย่างน่าเกลียดหลายครั้งเพราะนั่นเป็นหนทางเดียวที่พลพรรค ชุดขาวจะหยุดเจ้าหนูคนนี้ได้ แต่กระนั้น เมสซี่ก็ยังเป็นคนที่บรรจงชิพลูกยิงสุดเหนือชั้นข้ามหัวอิเคร์ คาซิยาส นายด่านมือหนึ่งของทีมและของทีมชาติสเปนเข้าไปสู่ก้นตาข่ายชนิดนอกจากจะทำ ให้คาสิยาสได้แต่มองแล้ว แม้แต่คันนาวาโร่ที่ห้อเต็มเหยียดหมายจะควักบอลออกจากปากประตูแต่ก็ไม่เป็น ผลแถมตัวเองยังต้องจูบเสาไปเต็มๆอีกด้วย
แมตช์เจอกับลียง และ บาร์เยิร์น มิวนิค ในรอบ 16 ทีม และก่อนรองชนะเลิศ เมสซี่ยังคงสำแดงเดชอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกับเกมในคัมป์ นู ที่เมสซี่ยิงรวม 3 ประตูและทำอีก 2 แอสซิส ส่งบาร์ซ่าเข้าสูรอบรองชนะเลิศด้วยการถล่มลียงไป 5-2 และ ต้อนบาร์เยิร์น มิวนิคไป 4-0
ในศึกเอล คลาสสิโก้ เลคสองที่เบอร์นาเบว ที่เมสซี่ได้รับคำสั่งให้ประจำอยู่ตรงกลางสนามซึ่งเป็นที่ๆเขาไม่คุ้นเคย เพื่อเล่นงานคู่เซ็นเตอร์สปีดต่ำของมาดริด ซึ่งแน่นอน เมสซี่พาทัวร์คู่เซ็นเตอร์ของมาดริดจนหัวหมุน
เมสซี่ทำไปสองประตูกับอีกหนึ่งแอสซิสสุด งามหยด ที่ทำให้รามอสได้กระโดดหวดลมเล่นก่อนเป็นอองรีที่หลุดเข้าไปล่อเป้าผ่านมือ คาซิยาสเข้าไป และเมื่อสัญญาณนกหวีดสุดท้ายได้สิ้นเสียงลง นั่นก็นับเป็นจุดเริ่มต้นของการบันทึกผลงานสุดอลังการระดับตำนานของบาร์ซ่า ด้วยการต้อนมาดริดเละคาเบอร์นาเบว ชนิดไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ของ เอล คลาสซิโก้ ที่ 6 ประตูต่อ 2 จากรึกตำนานหน้าใหม่ลงสู่ประวัติศาสตร์ของเกมฟุตบอลคู่ที่ห้ำหั่นกันดุเดือด ที่สุดคู่หนึ่งของดวงดาวสีน้ำเงินใบนี้
เกมกับเชลซี หลังจากผ่านเลคลงยันต์ของเชลซีที่คัมป์ นูด้วยสกอร์ไข่สองใบ บาร์ซ่ากำลังจะเพลี่ยงพล้ำให้กับทีมหน้าเดิมจากลอนดอน ที่เขี่ยบาร์ซ่าตกรอบมาหลายครั้ง แต่ก็เป็นเมสซี่นี่เองที่ถวายพานลูกบอลแห่งโชคชะตาให้อันเดรียส อิเนียสต้าตะบันเต็มข้อแบบไม่มองหน้าปีเตอร์ เช็ค ส่งบอลเข้าสู่ก้นตาข่าย และส่งบาร์ซ่าไปที่สนามสตาดิโอ โอลิมปิโก้ ที่กรุงโรม
และก็มาถึงไฮไลต์ของฤดูกาล ณ ที่ๆสายตาหลายล้านคู่ต้องจับจ้องมองมาเพราะว่านอกจากมันจะเป็นนัดชิงชนะเลิศ ของศึกฟุตบอลชิงถ้วยใบเขื่องที่สุดของยุโรปแล้ว มันยังเป็น "ศึกชิงเจ้ายุทภพ" ระหว่างสองเอกบุรุษแห่งโลกฟุตบอลสมัยนี้อย่าง ลิโอเนล เมสซี่ และคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ในสายตาของใครหลายๆคนอีกด้วย ซึ่งผลที่ออกมาก็แสดงให้เห็นเป็นอย่างดีว่ากรุงโรมนั้นได้ตกเป็นของเมสซี่ อย่างหมดจด
ด้วยการเลี้ยงฝ่าแนวกลางของเมสซี่ ทำให้นักเตะแมนฯยูฯ ต้องรุมกันทำฟาล์วเขาถึงครั้งละ 3-4คน และทุกๆครั้งที่เขาถูกทำให้ล้มลง เขาก็จะเป็นคนแรกที่ลุกขึ้นเพื่อที่จะวิ่งต่อไป
และในท้ายที่สุด เมสซี่ก็เป็นผู้จบทุกสิ่งทุกอย่างลง เขาจบทั้งเกมนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรยุโรป จบทั้งฤดูกาลอันเยี่ยมยอดของบาร์ซ่า และจบความฝันในการป้องกันแชมป์ของแมนฯยูฯลงอย่างราบคาบด้วยลูกโขกจากการครอ สของซาบี้ ที่ทำให้ฟาน เดอร์ ซาร์ได้แต่ยืนปากหวอพร้อมๆกับส่งให้แฟนแมนฯยูฯต้องกลับบ้านนอนน้ำตาเปียก หมอนกันไป บาร์ซ่าชนะ 2-0 และเติมเต็มฤดูกาลอันสุดยอดด้วยถ้วยแชมป์ใบที่สาม
นอกจากนี้แล้ว ผลงานเด่นๆของเมสซี่ในปีนี้ยังมีอีกมาก เช่นการทำแฮตทริกใส่แอตฯมาดริด การลงจากม้านั่งสำรองมายิงราซิ่งรวดเดียว 2เม็ด ส่งทีมแซงชนะไปด้วยสกอร์ 2-1 หรือในเกมโคปปา เดล เรย์รอบชิง ที่เมสซี่กดไป 1 และแอสซิสไปอีก 2
หลังพ้นจากฝันร้ายที่ต้องบาดเจ็บตลอด 3 เดือนในฤดูกาล 2007/2008 เขายังคงได้เป็นผู้ท้าชิงรางวัลบัลลงดอร์ และแม้ว่าเขาจะต้องลงเล่นกับแมนฯยูฯโดยต้องพันผ้าพันแผลที่สะโพก แต่เมสซี่ก็เป็นเพียงคนเดียวในทีมที่เล่นได้อย่างโดดเด่น ก่อนที่ทีมจะต้องกระเด็นตกรอบไปด้วยสกอร์รวม 1-0
ดิเอโก้ มาราโดน่าเป็นคนที่ออกมายอมรับด้วยตัวเองว่า ลีโอนั้นคือผู้สืบทอดตัวจริงของเขา และบรรดาแข้งเทพในอดีตและบรมกุนซือทั้งหลายอย่างมาร์เซโล่ ลิปปี้ เจอร์เก้น คลินส์มัน กุส ฮิดดิ้ง แม้กระทั่งตัวอเล็กซ์ เฟอร์กูสันเองก็ยังออกปากยอมรับว่าไม่มีนักเตะคนใดในโลกตอนนี้ที่เหมือนกับ เมสซี่
และสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับคู่แข่งก็คือ เมสซี่เพิ่งมีอายุเพียง 22 ปี (เมื่อ 24 มิถุนายนที่ผ่านมา) เท่ากับว่าเขาจะยังมีเวลาพาทัวร์กองหลังคู่แข่งไปอีกกว่าสิบปี และถ้าหากคำกล่าวที่ว่านักฟุตบอลจะสุดยอดเมื่ออายุ 27 และ 31 ปีเป็นจริง นั่นหมายความว่าเมสซี่ยังอยู่ห่างจากจุดสูงสุดของเขาอีกถึง 5 ปี ซึ่งใครเล่าจะสามารถจินตนาการถึงความเก่งกาจของเขาในตอนนั้นได้ว่าเขาจะเก่ง แค่ไหน?
ฉะนั้นมันคงไม่ต้องสืบอีกแล้วว่าใครเหมาะ สมที่จะได้รับรางวัล บัลลงดอร์ในปีนี้ ด้วยผลงานการคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ลีค ลา ลีกา และโคปปา เดล เรย์ ทำ 38ประตู และ 24แอสซิส มันคงจะเป็นเรื่องช็อคโลกทั้งโลกหากชื่อที่สลักอยู่บนลูกฟุตบอลทองคำนั้น เป็นชื่ออื่นที่ไม่ใช่ชื่อของนักเตะคนนี้ "ลิโอเนล เมสซี่"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น