วันศุกร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2553

บัลเดสส่อแววโดนยูฟ่าเล่นฐานด่ามูหลังจบเกม




บิคตอร์ บัลเดส นายทวารบาร์เซโลน่า ส่อแววโดนสหพันธ์ุฟุตบอลยุโรป หรือ ยูฟ่า สอบสวนและเล่นงานกรณีพยายามขัดขวาง โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือ อินเตอร์ มิลาน ไม่ให้ฉลองกับแฟนบอลหลังจบเกม ชปล. รอบตัดเชือกนัดสองที่บาร์ซ่าชนะงู 1-0 เมื่อวันพุธที่ผ่านมา

แม้งูใหญ่จะแพ้บาร์ซ่าในถิ่น กัมป์นู 0-1 แต่่รวมผลสองนัด อินเตอร์ของมูรินโญ่ก็ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศด้วยสกอร์รวม 3-2 ทำให้หลังสิ้นสุดเสียงนกหวีด เดอะ สเปเชี่ยลวัน ก็วิ่งไปฉลองกับแฟนบอลงูใหญ่ในสนาม

แต่เกิดเหตุไม่คาดฝัน เมื่อบัลเดส นายด่านของทัพอาซุลกราน่ายังอารมณ์ค้าง วิ่งเข้าไปขวางและกระชากไหล่ของเฮียมู เพื่อยับยั้งไม่ให้ร่วมยินดีกับแฟนๆ ก่อนที่จะถูกจับแยกออกไป

ด้านมูรินโญ่ไม่ถือสาหาความนายด่านของบาร์ซ่า และกล่าวถึงเรื่องนี้ในการแถลงข่าวเพียงว่า

"พรุ่งนี้ก็กลายเป็นอีกวันแล้ว เราต้องเดินหน้าต่อไป"

อย่างไรก็ดี ยูฟ่าอาจพิจารณาสอบสวนเรื่องนี้ และอาจมีการลงโทษบัลเดสต่อไป

วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553

คุยหลังเกม:บาร์ซ่ากลับความพ่ายเเพ้

โถ่การพ่ายเเพ้ครั้งนี้มันก็ เซ็งพอได้อยู่นะเเต่เราจะไปเคลียดอะไรเล่า ฟุตบอลมีเเพ้มีชนะ เเต่ขอพูดถึงเกมเมื่อ คืนก่อนว่าเราบุกจริง เเล้วบุกอยู่ของเดียวด้วยเเต่ทำไมรู้สึกว่าจดดันก็ไม่รู้ จังหวะ นาทีที่ 28 ผู้เล่นอินเตอร์โดน ไล่ออกผมนี้ ดีใจตายเลยมามันออกๆไปสะก็ดี 10-11 ยิงไม่ได้ให้มันรู้ไปดิ เเต่ก็ยิงไม่ได้จริงๆ เพราะอะไรหรอ ? ไอบุสเกตที่ไปทำมารยาทำให้ อินเตอร์โดนใบเเดง เล่น เเผนของ เฮียมู เนี้ยมันก็เปลี่ยนไป จากรับเเล้วลุก กลายเป็น รับเเม้งอย่างเด๋วเลยหละกัน


เเละเกมลุกขอบบาร์ซ่าเเถบจะได้บุกอยู่ข้างเดียวเเต่เจาะไม่เข้าจริงๆ เหมือนมีกำเเพง 2 ชั้นอะไรเเบบนั้นหละ
จนนาทีที่ 84 ปีเก้ได้บอลจาก ชาบี เเละหมุนตัว 360 องศาเลย my god บาร์ซ่าขี้นนำ 1-0 จากนั้นได้จังหวะหลายครั้งจน มาถึง ไอลูกที่น้าจะได้เเต่ กรรมการ ดันเป่าหา *** ไรก็ไม่รู้ จบเกมก็บาร์ซ่า ชนะเหมือนจะดีใจที่ชนะ กับ นอนไม่หลับทั้งคืน
หลังเกมกุนซือทั้ง 2 ก็มาบอกอะไรนิดๆหน่อย
เป๊ป กวาร์ดิโอล่า โค้ชหนุ่มของทีม "เจ้าบุญทุ่ม" บาร์เซโลน่า ยักษ์ใหญ่ของสเปน แสดงความยินต่อ อินเตอร์ มิลาน ที่ได้เข้ารอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก หลังจากทีมของเขาเอาชนะในเกมรอบตัดเชือก นัดสอง ไปได้แค่ 1-0 รวมผล 2 นัด แพ้ไป 2-3 อดผ่านป้องกันแชมป์ที่ ซานติอาโก้ เบร์นาเบว พร้อมชี้ว่า ใบแดงของ ติอาโก้ ม็อตต้า มิดฟิลด์แซมบ้า ตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงแรก เปลี่ยนรูปเกมทำให้ทีม "งูใหญ่" ต้องตั้งรับอย่างเดียว ส่งผลให้พวกเขาเจาะประตูได้ยาก มากขึ้นโดยปริยาย

ส่วนเฮียมู
บอกว่าการเอาชนะบาร์ซ่า คือสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตเลยอ่ะจ๊ เเก่เก่งจริงๆ เเต่ลีลาเเกกวน*** ไปนิด
ไว้คุยหลังเกมกันใหม่ :โดย fc-barca




ฟุตบอลยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก รอบรองชนะเลิศ 2
วันพุธที่ 21 เมษายน 2553


บาร์เซโลน่า 1:0 อินเตอร์ มิลาน
ผลนัดแรกอินเตอร์ ชนะ 3:1 รวม 3:2 เข้าชิง


สนาม : เอสตาดิโอ คัมป์ นู, บาร์เซโลน่า
ผู้ตัดสิน : ฟร้องก์ เดอ บลีกแกร์ (เบลเยี่ยม)
ผู้ชม : 95,000 คน
เวลาเตะ : 01.30 น.
ถ่ายทอดสด : ช่อง 7
สภาพอากาศ : ท้องฟ้าโปร่ง, อุณหภูมิ 10~20 องศาเซลเซียส, ความชื้น 38%
ใบเหลือง : ติอาโก้ ม็อตต้า (10,2Cool, เปโดร โรดริเกวซ 27, ชูลิโอ เซซ่าร์ 35, คริสเตียน คิวู 43, ลูซิโอ 82, มุนตารี่ 83
ใบแดง : ติอาโก้ ม็อตต้า 28
ผู้ทำประตู : [1:0]เคราร์ด ปิเก้ 84


เกมนี้ "บาร์ซ่า" จะไม่มี ดมิโตร ชิกรีนสกี้ ปราการหลังชาวยูเครน ที่ไม่มีสิทธิ์ลงเล่นในฟุตบอลสโมสรยุโรป รวมไปถึง การ์เลส ปูโยล กองหลังกัปตันทีมที่ติดโทษแบน หลังจากได้รับใบเหลืองสะสมครบตามโควต้าพอดี
ส่วนรายของ อันเดรส อิเนียสต้า กองกลางจอมเทคนิคทีมชาติสเปน บาดเจ็บต้นขาขวาฉีกระหว่างฝึกซ้อม และ เอริก อบิดัล แบ็กซ้ายทีมชาติฝรั่งเศส ที่มีอาการบาดเจ็บรบกวนชวดบู๊แน่นอน

อินเตอร์ ได้ข่าวดีคือ ดั๊กลาส ไมค่อน แบ็กขวาจอมบุกทีมชาติบราซิล ซึ่งไปผ่าฟันที่เจ็บจากนัดแรก หายทันกลับมาช่วยทีมได้แล้ว ขณะที่ ฟรานเชสโก้ ตอลโด้ นายทวารมือสองวัย 38 ปี หายเจ็บขามีชื่อติดทีมด้วย
เวสลี่ย์ สไนเดอร์ เพลย์เมกเกอร์ตัวสำคัญที่เจ็บกล้ามเนื้อตึงบริเวณต้นขาซ้าย มาจากเกมลีกล่าสุดที่อัด อตาลันต้า แต่คาดว่าน่าจะผ่านความฟิตลงสนามได้ อย่างไรก็ตามเกมนี้ อินเตอร์ จะไม่มี เดยัน สแตนโควิช กองกลางตัวเก่งชาวเซิร์บ ที่ติดโทษแบน หลังจากได้ใบเหลืองสะสมครบตามโควต้าพอดี


เกมครึ่งแรก
เริ่มเกมการแข่งขันมานาที 3 โอกาสครั้งแรกของเจ้าบ้านจาก เปโดร โรดริเกวซ ยิงบอลไม่ตรงกรอบเลยเสาไกลออกหลัง
จากนั้นเกมตกเป็นของ "บาร์ซ่า" ที่เดินเกมบุกกดดันอินเตอร์ และในนาที 10 ติอาโก้ ม็อตต้า มาโดนใบเหลืองแรกของเกมหลังอัด ดาเนี่ยล อัลเวส
นาที 23 เปโดร โรดริเกวซ มีโอกาสซับไกอีก ก็ยังไม่ตรงกรอบ
นาที 28 เกิดปัญหาใหญ่กับทีมเยือนเมื่อ ติอาโก้ ม็อตต้า มาโดนใบเหลืองที่สองจังหวะใช้มือไปปาดหน้า เซร์คิโอ บุสเกตส์ ทำให้ อินเตอร์ เหลือ 10 คน และ มูรินโญ่ ไม่พอใจตบมือให้กรรมการ ส่วน ม็อตต้า เข้าไปจับคอ บุสเกตส์ ก่อนที่จะถูกแยกออกมาเข้าห้องพักไป
นาที 32 ลีโอเนล เมสซี่ มีโอกาสยิงไกลนอกกรอบยังไม่ผ่านมือ ชูลิโอ เซซาร์ กระโดดปัดได้ทัน
นาที 44 เจ้าบ้านได้ฟรีคิกนอกเขตระยะค่อนข้างไกลและเป็น ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ซัดแรงออกหลังไป จนหมด 45 นาทีแรก "บาร์ซ่า" ที่ครองเกมบุกฝ่ายเดียวยังไม่สามารถทำประตูได้ เสมอกันอยู่ 0:0

เกมครึ่งหลัง
มาต่อในครึ่งหลังเกมยังเป็นของ "บาร์ซ่า" ที่ครองบอลบุกเหมือนเดิมทว่ายังเจาะแนวรับ "งูใหญ่" เข้าทำประตูไม่ได้
นาที 62 เปโดร โรดริเกวซ มีโอกาสก็ยังยิงบดออกหลังไปเสีย
ถัดมาอีก 2 นาที "เป๊ป" โจเซฟ กวาร์ดิโอลา เปลี่ยนกองหน้าลงไปอีก 2 คนไปเจาะอินเตอร์ ให้ได้
เกมเล่นมาจนนาที 75 "บาร์ซ่า" ก็ยังไม่มีโอกาสเข้าจบสกอร์แบบเด็ดขาดสักที และนาทีต่อมา เซย์ดู เกอิต้า ลองยิงไกลนอกเขตก็ไปจุดพุเสียอีก
นาที 83 โอกาสทองของเจ้าบ้านจากลูกเปิดของ ลีโอเนล เมสซี่ ส่งให้ โบยาน เกร์กิช วิ่งเข้ามาโขกหลุดเสาออกหลังไปอย่างน่าเสียดาย
ถัดมาอีก 1 นาที บาร์เซโลน่า ได้เฮลั่นสนามเมื่อ เคราร์ด ปิเก้ หลุดล้ำหน้าเข้าไปไม่ยิงจังหวะแรกล็อกวนรอบตัวหนีการบล็อกของ เซซาร์ และ คอร์โดบา ก่อนยิงเข้าไปง่ายดาย 1:0
ช่วงท้ายเกม!! "เจ้าบุญทุ่ม" ใช้แรงฮึดสุดท้ายพับสนามบุกและเกือบได้เพิ่มอีกประตูจากลูกยิงของ โบยาน เกร์กิช ส่งบอลเข้าประตูไปแล้ว แต่กรรมการเป่าฟาวล์เพราะมีจังหวะแฮนด์บอลไปก่อนหน้า จนจบเกม 90 นาที บาร์เซโลน่า เปิดบ้านชนะ อินเตอร์ มิลาน 1:0 รวมสองนัด 2:3 ไม่เพียงพอเข้ารอบ ทำให้ "งูใหญ่" ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศไปพบกับ บาเยิร์น มิวนิค


รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม
บาร์เซโลน่า : ระบบ 4-3-3
ผู้รักษาประตู : บิคตอร์ บัลเดส
กองหลัง : ดาเนี่ยล อัลเวส, เคราร์ด ปิเก้, กาเบรียล มิลิโต้(แม็กซ์เวลล์ น.46), เซร์คิโอ บุสเกตส์(เจฟเฟรน ซัวเรซ น.65)
กองกลาง : ชาบี เฮอร์นานเดซ (กัปตันทีม), ยาย่า ตูเร่, เซย์ดู เกอิต้า
กองหน้า : ลีโอเนล เมสซี่, ซลาตัน อิบราฮิโมวิช(โบยาน เกร์กิช น.64), เปโดร โรดริเกวซ
ตัวสำรอง : ราฟาเอล มาร์เกซ, โบยาน เกร์กิช, โฆเซ่ มานูเอล ปินโต, เธียร์รี่ อองรี, แม็กซ์เวลล์, ธิอาโก้, เจฟเฟรน ซัวเรซ

อินเตอร์ มิลาน : ระบบ 4-2-3-1
ผู้รักษาประตู : ชูลิโอ เซซาร์
กองหลัง : ดั๊กลาส ไมค่อน, ลูซิโอ, วอลเตอร์ ซามูเอล, ฮาเวียร์ ซาเน็ตติ (กัปตันทีม)
กองกลาง : ติอาโก้ ม็อตต้า, เอสเตบัน กัมบิอัสโซ่, เวสลี่ย์ สไนเดอร์(ซัลลี่ มุนตารี่ น.6Cool, คริสเตียน คิวู, ซามูแอล เอโต้(แม็คโดนัลด์ มาริก้า น.87)
กองหน้า : ดีเอโก้ มิลิโต้(ริคาร์โด คอร์โดบา น.82)
ตัวสำรอง : ฟรานเชสโก้ ตอลโด, ริคาร์โด คอร์โดบา, ซัลลี่ มุนตารี่, แม็คโดนัลด์ มาริก้า, มาร์โก้ มาเตรัซซี่, มาริโอ บาโลเตลลี่, มาร์โก้ อาร์เนาโตวิช

เป๊ปยินดีอินเตอร์เข้าชิงฯ-บ่นใบแดงทำงูอุด



เป๊ป กวาร์ดิโอล่า โค้ชบาร์เซโลน่า ชี้ใบแดงของ ติอาโก้ ม็อตต้า มีผลต่อรูปเกม ทำให้ อินเตอร์ มิลาน อุดลูกเดียว แม้ได้เปรียบเรื่องตัวผู้เล่นนานเป็นชั่วโมง แต่ก็ชนะไปแค่ 1-0 ด้วยประตูช่วงท้ายเกม อดเข้าไปป้องกันแชมป์แชมเปี้ยนส์ ลีก จากสกอร์รวม 2 นัดแพ้ 2-3 แต่ไม่ลืมแสดงน้ำใจนักกีฬา แสดงความยินดีต่อ "งูใหญ่" ด้วย

เป๊ป กวาร์ดิโอล่า โค้ชหนุ่มของทีม "เจ้าบุญทุ่ม" บาร์เซโลน่า ยักษ์ใหญ่ของสเปน แสดงความยินต่อ อินเตอร์ มิลาน ที่ได้เข้ารอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก หลังจากทีมของเขาเอาชนะในเกมรอบตัดเชือก นัดสอง ไปได้แค่ 1-0 รวมผล 2 นัด แพ้ไป 2-3 อดผ่านป้องกันแชมป์ที่ ซานติอาโก้ เบร์นาเบว พร้อมชี้ว่า ใบแดงของ ติอาโก้ ม็อตต้า มิดฟิลด์แซมบ้า ตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงแรก เปลี่ยนรูปเกมทำให้ทีม "งูใหญ่" ต้องตั้งรับอย่างเดียว ส่งผลให้พวกเขาเจาะประตูได้ยาก มากขึ้นโดยปริยาย
ม็อตต้า เด็กเก่าบาร์ซ่า โดนใบแดงเพราะว่าเอามือไปผลักหน้าของ เซร์คิโอ บุสเก็ตต์ จากจังหวะพยายามครองบอล สบโอกาสให้ กองกลางดาวรุ่งเลือดกระทิง ลงไปนอนดิ้น เอามือกุมหน้าประหนึ่งเหมือนโดนชก แต่กว่า บาร์ซ่า จะได้ประตูก็ต้องรอนาที 84 เมื่อ เคราร์ด ปิเก้ หลุดกับดักล้ำหน้า โชว์ความนิ่ง ล็อกบอลม้วนหนี ชูลิโอ เซซ่าร์ กลับตัว 360 องศายิงเข้าประตูโล่งๆ
"ผม ซาบซึ้งในความภาคภูมิใจของสโมสร และการสนับสนุนที่ได้รับ ผมรู้สึกแย่ที่เราไม่ได้เข้ารอบชิงชนะเลิศ เราพยายามแล้ว และผมก็ภูมิใจด้วย เราต้องขอโทษด้วย ที่เราทำได้เพียงแค่แสดงความยินดีต่อ อินเตอร์ เราพยายามเปิดพื้นที่ ทำลายสถานการณ์หนึ่งต่อหนึ่ง สร้างโอกาสด้วยลูกเปิดทางริมเส้น และเก็บตกบอลจังหวะสอง แต่เราเสียฟรีคิกมากไป"
"เรา ขาดความต่อเนื่องในเกม และจากความผิดพลาดเหล่านั้น หรืออะไรก็ตามที่เราไม่สามารถจัดการแผนการหนึ่งต่อหนึ่งของพวกเขาได้ เมื่อทีมเล่นตั้งรับด้วยผู้เล่น 9 คน การจะเจาะประตูมันไม่ง่ายเลย เราพยายามทั้งข้างใน และข้างนอก แต่เกมรุกเป็นเรื่องยาก เสมอ และเราก็ได้ประตูช้าเกินไป"
"นักเตะรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่ เรามีเส้นทาง แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ดี เราเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ เราจะมาพยายามกันใหม่ปีหน้า เรามีเวลาพักฟื้น 3 วันก่อนเล่นเกมลีก เราต้องลุกขึ้นใหม่ ใบแดงมีผลต่อเกม มันทำให้พวกเขาตั้งรับ (ดีเอโก้) มิลิโต้ กับ (ซามูเอล) เอโต้ ขยับมาอยู่ที่ริมเส้น พวกเขาตั้งแนวรับด้วยนักเตะเกือบ 6 คน เรามีเกมที่ยอด เยี่ยม แต่ตอนนี้เราเล่นมา 15 เกม และต้องเล่นทุกๆ 3-4 วัน"
ขณะเดียวกัน เป็ป ปฏิเสธที่จะตำหนิแท็กติกของ มูรินโญ่ โดยบอกว่าผู้ชนะย่อมถูกเสมอ "ทีมทุกทีม โค้ชทุกคน เล่นในแบบที่พวกเขาอยากเล่น ผมไปตัดสินคู่แข่งไม่ได้ ผู้ชนะเป็นฝ่ายถูก เราไป มิลาน เพื่อเล่นให้ดี และเราทำไม่ได้แบบนั้นด้วยหลายๆ เหตุผล เราไม่เคยทิ้งความหวัง บางครั้งการเล่นเกมบุกก็ยากกว่าการตั้ง รับ"
"ผมไม่ผิดหวังในตัวของนักเตะ และไม่คิดว่าเราเป็นเหยื่อความสำเร็จของตัวเองด้วย เราเข้ารอบรองชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก เรามี 87 แต้มในลีก และแพ้แค่นัดเดียว เรารู้ว่ามีชนะก็ต้องมีแพ้ เพราะว่าสโมสรแห่งนี้มีอะไรมากกว่าชัยชนะ และเราแสดงให้เห็นแล้วว่าเราปฏิบัติตัวยังไงเวลาชนะและแพ้" เป๊ป กล่าว ส่วนคำถามที่ว่าเขาจะเชียร์ใครในเดือน พ.ค. นี้ โค้ชคนเก่งบอกว่า "ช่วงนั้นผมจะไปเที่ยว"






เลือดหมูน้ำเงิน T-Shirt Festival




ประเพณี เป็นสิ่งที่ดีงาม .. ประเพณีเป็นสิ่งที่ควรรักษา .. ประเพณีเป็นสิ่งที่ควรสืบทอดต่อไป ...

หากจะกล่าวถึงคำว่า "ประเพณี" ในด้านทั่วไปแล้วมันก็ไม่ยากประเทศไทยมีประเพณีที่งดงามอย่าง สงกรานต์ เฉกเช่นเดียวกับวงการฟุตบอล มันก็ย่อมมีประเพณีของแต่ละสโมสร

เจาะลึกลงไปในหน้าแผนที่ของประเทศสเปน มองไปบนทิศเหนือ จะพบกับแคว้นที่มีชื่อว่า "คาตาลัน" มีทีมทีมหนึ่งที่มีประวัติศาสตร์และเกียรติยศชื่อเสียงมากมายในวงการลูกหนัง โลก

ใช่แล้วเรากำลังพูดถึง FC Barcelona ทีมที่เพิ่งจะประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ในหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ของสโมสรหรือ ของโลกเลยก็ว่าได้ ...

หากจะกล่าวว่า เบื้องหลังแห่งความสำเร็จส่วนหนึ่งใน Triple Champs ปีนี้ของทีมบาร์ซ่าคือคำว่า "ประเพณี" มันอาจจะทำให้เกิดการตะขิดตะขวงในใจสักเล็กน้อย แต่ในความจริงมันมีส่วนไม่น้อยเลย

บาร์เซโลน่า เป็นทีมที่มีอุตสาหกรรมการปั้นเด็กเยาวชน ที่เรียกได้ว่าติดอันดับต้นๆของโลกเลยก็ว่าได้ ... คำว่าติดอันดับต้นๆนี้ไม่ได้เพียงหมายความว่าปั้นเด็กอย่างเดียวเพราะทีม ไหนๆก็ต่างมีนโยบายแบบนี้กันหมด

แต่ถ้าจะให้พูดถึงหลักของคุณภาพในการ เป็นเด็กก็คือ การที่เด็กในทีมเยาวชนหรือทีมสำรอง ก้าวขึ้นมากลายเป็นนักเตะที่มีคุณภาพคับแก้ว ช่วยพัฒนาทีมต้นสังกัดหรือ ในวงการลูกหนัง นั่นเอง

แสงแรก แห่งเส้นทางของความสำเร็จจากลูกหม้อของทีมเลือดหมูน้ำเงินนั้น เริ่มต้นที่ต้นยุค 90s

ดีอดีตกัปตันบาร์ซ่ามิดฟิลเบอร์ 4 โจเซป "เป๊ป" กวาดิโอล่า ในรายของกวาดิโอล่านั้นแค่ได้ขึ้นชื่อก็คงมโนภาพ การฉลองทริเปิ้ลแชมป์ในคราบผู้จัดการทีมมาดเท่ห์

นักเตะผู้ยิ่งใหญ่ที่เหมือนเป็นนักเตะ เยี่ยงอย่างหรือฮีโร่ของเด็กๆ หลายๆคนที่เป็นเด็กในอคาเดมี่หรือ เด็กในเมืองบาร์เซโลน่า การที่ได้เป็นนักเตะฝึกหัด การเป็นเด็กเก็บบอลข้างสนาม ไต่เต้าจนขึ้นทีมสำรอง

และ ได้ติดทีมชุดใหญ่เล่นในสนามโอ่งยักษ์ คัมป์ นู ต่อหน้าแฟนบอล 90,000 คน ... การมีชื่อเสียงล้นฟ้าในคราบนักเตะมากเท่าไร ก็ไม่เท่ากับการได้ลงเล่นให้กับทีมบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง

มันเป็น เกียรติ ที่เรียกได้ว่าหาคำบรรยายสรรพคุณไม่ถูกเลยทีเดียว .. การได้เล่นฟุตบอลในทีมบ้านเกิดของตัวเองพร้อมกับนักเตะระดับโลก .. แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะประสบความสำเร็จกันซะเรื่อยไป

มันเป็นหนึ่งในร้อย หรือ หนึ่งในล้านเลยก็ว่าได้ที่คุณจะได้รับโอกาสนั้น มีเยาวชนของบาร์ซ่าหลายคนที่ปีนไม่ถึงดวงดาวในฝัน แต่ก็พลัดตกเสียก่อน .. แต่ประเพณีของบาร์ซ่ามันแตกต่างออกไปจากทีมอื่นสักเล็กน้อย

หลายคนอาจจะอยากเห็นนักเตะระดับโลกในทีม รัก .. แต่สำหรับชาวบาร์ซ่าแล้วมัน "แตกต่าง" เราต้องการที่จะเห็นเด็ก

เยาวชนในทีมตัวเองลงเล่นในทีมชุดใหญ่ เราต้องการเห็นการก้าวหรือการพัฒนาของเยาวชนอย่างต่อเนื่อง ..

บาร์ซ่ามีนักเตะระดับโลก ใช่แล้ว ฉายาเจ้าบุญทุ่มไม่ได้มาจากการจับสลากสอยดาว แต่เหนือสิ่งอื่นใด บาร์ซ่าก็ยังคง "ประเพณี"

การดันเด็กเยาวชนในทีมอยู่เรื่อยมา ปีละหนึ่งคนหรือสองคนมันก็โอเคแล้ว

ดั่งเช่นในทีมชุดใหญ่ตอนนี้นักเตะที่เคย เป็นเด็กเยาวชนบาร์ซ่ามาก่อนก็ มี บัลเดส, ชาบี้, อิเนียสต้า, เมซซี่, โบยาน , บุสเกสต์, ปูโยล, ปิเก้ ฯ

ล้วนแล้วแต่เป็นนักเตะสำคัญของทีมทั้ง นั้น หรือจะนับรวมไปถึงโค้ชหนุ่มไฟแรงอย่าง โจเซป กวาดิโอล่า ด้วยก็ได้อยู่

หากจะหาทีมที่มี "ประเพณี" หรือแนวทางด้านนี้เฉกเช่นเดียวกับทีมอย่างบาร์ซ่าแล้ว ก็ต้องโยงไปถึงทีมจากแคว้นบาสก์ อย่าง "แอธเลติก บิลเบา"

ประเพณีของทีมนี้อาจจะมีความละม้ายคล้าย คลึงกับบาร์ซ่าอยู่เล็กน้อย ...

อย่างที่ทราบกันดีว่า บิลเบา จะเน้นใช้นโยบายนักเตะเด็กปั้นของตัวเองเท่านั้น ! การจับจ่ายซื้อขายในทีมนี้มันมีบ้างครับแต่ในรายชื่อของนักเตะแล้วแต่ละคนใน ชุดจริงล้วนแล้วแต่ละคนที่มีเชื้อสายสเปน ทุกคน !!

นี่ล่ะครับที่เป็นเอกลักษณ์ของทีมดังจาก แคว้นบาสก์ แต่ ในวงการฟุตบอลต้องยอมรับว่าสิ่งที่โหยหากันก็คือการเป็น "แชมป์เปี้ยน" ในรายของบิลเบานั้นไม่ได้ขี้เหร่จนเกินไปถ้าจะนับถ้วยในตู้โชว์ของสโมสรก็พอ สู้กับหลายๆทีมในสเปนได้

1 ใน 3 ทีม ในลาลีกา ลีค ที่ยังไม่เคยตกชั้นไปเล่นใน เซกุนด้า ร่วมกับ เรอัล มาดริด และ บาร์เซโลน่า นั้นห่างเหินจากคำว่าประสบความสำเร็จมาพอสมควร

ในถ้วยโคปา เดล เรย์ ยังพอได้ลุ้นบ้าง แต่ในการแข่งขันอื่นๆยังถือว่าไม่เข้าขั้น

การที่ยึดติดหรือหนักแน่นใน "ประเพณี" มันก็เหมือนดาบสองคม บิลเบา น่ายกย่องในเรื่องประวัติศาสตร์ ประเพณี

แต่ในด้านความสำเร็จในปัจจุบัน มันยังไม่เป็นที่เชิดหน้าชูตาเทียบเท่ากับประวัติศาสตร์อันดีงามสักเท่าไหร่

แต่เหนือสิ่งอื่นใดแล้วสำหรับทีมอย่าง บิลเบา ที่ยิ่งใหญ่จนถึง ณ ปัจจุบัน ได้ส่วนหนึ่งที่เป็นส่วนหลักของทีมเลยก็คือ

"แฟนบอลที่จงรักภักดี" นี่เป็นสิ่งที่ประคอง ประเพณี และ ความยิ่งใหญ่ของทีมให้คงอยู่

ถ้าเปรียบเทียบกับทีมแคว้นคาตาลัน อย่าง บาร์เซโลน่า มันก็เป็นสิ่งที่ชัดเจนว่า บาร์ซ่านั้น ประสบความสำเร็จในการแข่งขัน มากกว่า บิลเบาอยู่พอสมควร

อีกหนึ่งสิ่งที่เป็นหนึ่งในแรงขับ เคลื่อนของความสำเร็จของทีมเลือดหมูน้ำเงิน และเกี่ยวข้องกับคำว่า "ประเพณี" ก็คือ ....

"การเล่นฟุตบอลเกมส์รุกที่สวยงาม" เกมส์ใดที่สกอร์จบเกมส์เป็น 0-0 ก็เหมือนกับยามบ่ายที่ไม่มีแสงแดด

การ ที่แฟนบอลชาวบาร์ซ่าตีตั๋วเข้ามาชมเกมส์ลูกหนัง จุดประสงค์หลัก ก็คือ ดูการเล่นฟุตบอลเกมส์รุกที่ตื่นตาตื่นใจและสวยงาม เปรียบได้ดั่งการ สู้กระทิง ของ เอล มาทาดอร์ ในสเปน ..

ของขวัญในค่ำคืนอันแสนสนุกจากรังคัมป์ นู ของแฟนบอลคือการได้ดูทีมรักของตัวเอง เล่นฟุตบอลเอนเตอร์เทน ได้อย่างสนุกสนานเร้าใจและสวยงาม มิใช่การเล่นบอลในสไตล์น่าเบื่อรัดกุม ..

การเล่นฟุตบอลเกมส์รุกของบาร์ซ่าเริ่ม ต้นมาตั้งแต่สมัย โยฮัน ครัฟฟ์ยังเป็นนักเตะให้ทีมเลือดหมูน้ำเงิน จนถึง ณ ปัจจุบัน ยังคงสไตล์การเล่นที่เร้าใจอยู่ และ จะคงอยู่อย่างนี้ตลอดไป

การได้รับความสุขจากการดูบอลเอนเตอร์เทน มันก็ย่อมมีผลเสีย ตามมาอยู่แล้ว นั่นคือ ความสำเร็จ .. ความสำเร็จของบาร์ซ่า ไม่ได้มีมาตลอดหรือทุกปี

มันย่อมเป็นไปตามกฏของธรรมชาติขึ้นและลง แต่การเล่นบอลในสไตล์แบบนี้

หากจะหวังที่จะประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ อย่างต่อเนื่อง มันเป็นไปไม่ได้ แต่ ณ วันนี้ในปัจจุบัน บาร์ซ่าได้พิสูจน์แล้วว่าการเล่นฟุตบอลแบบที่พวกเค้าเป็นมันยังไม่ ตาย ไปซะทีเดียว !! จากการคว้าทริเปิ้ลแชมป์ ในปีนี้

ทำให้หลายคนเหลียวมอง สนใจในเกมส์รุก อันสวยสดงดงามของบาร์ซ่า ใช่แล้ว มันเป็นสิ่งที่มีมายาวนาน มันเป็นประเพณีของพวกเรา และใน ณ วันนี้ก็ได้ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ !!

การประสบความสำเร็จในการเล่นฟุตบอลย่อม ไม่ต้องการถ้วยรางวัลเสมอไป การที่ได้รับรอยยิ้ม และทำให้คนดูมีความสุข เท่านี้มันก็เพียงพอแล้ว ...

การเล่นฟุตบอลที่สวยงาม และ คลาสสิค ดั่งศิลปิน มันยังไม่ "ตาย" ไปจากวงการลูกหนังโลก ...

ประเพณี ของ ชาวเลือดหมูน้ำเงิน บาร์เซโลน่า คือ ความจงรักภักดีต่อวงการลูกหนังโลก !!

บาร์เซโลน่าที่แข็ง แกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์



ประโยคคำว่า "นี่คือบาร์เซโลน่าที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์" เป็นประโยคที่กล่าวออกมาจากกัปตัน คาร์เลส ปูโยลและซาบี้ เฮอร์นันเดส 2 ผู้นำของทีมเบลลากราน่าในทีมปัจจุบัน ที่กล่าวถึงการซื้อตัวผู้เล่นเข้ามา 4 คนได้แก่ ยาย่า ตูเร่, เอริค อบิดัล, กาเบรียล มิลิโต้ และเธียร์รี่ อองรี แน่นอนไม่เป็นคำกล่าวเกินจริงเท่าไรนักถ้าดูรายชื่อนักเตะในทีม ทุกคนเรียกว่าระดับเวิร์ลคลาสทั้งนั้น อาจจะมีเพียงชื่อบิคตอร์ บัลเดสที่ระแคะระคายสายตาของแฟน ๆ บาร์ซ่า

แต่คำว่าแฟนตาสติกโฟว์ ที่คนทั้งโลกอยากเห็นปัจจุบันก็ยังไม่ได้ยลกันสักครั้ง เมื่อเมสซี่ไปเตะฟุตบอลชิงแชมป์อเมริกาใต้ก่อนช่วงเปิดซีซั่น เอโต้ชิงเจ็บตอนเปิดฤดูกาลลาลิก้า โรนัลดินโญ่มีอาการบาดเจ็บเรื้อรังต่อเนื่องและมรสุมจากสื่ออย่างหนัก อองรีเจ็บกลางซีซั่น เอโต้ไปแอฟริกันเนชั่นคัพเมื่อหายเจ็บ และเป็นเมสซี่ที่เพิ่งเจ็บหนักและพักอยู่ในปัจจุบัน เรียกได้ว่าขนาดให้ 4 คนมีชื่อในทีม 18 คนก็แทบไม่มีโอกาสเลยสักครั้ง ตอนนี้ขอแค่มีสับเปลี่ยนใช้งานให้ได้ 3 คนก็ทำให้แฟนบาร์ซ่าใจชื้นเต็มทีแล้วละ

แม้ปัญหาการบาดเจ็บจะรุมเร้าทีม บาร์ซ่า แต่ปัญหาที่ในขณะนี้บาร์ซ่ารั้งรองจ่าฝูงมาถึงนัดที่ 30 แล้วก็ยังคงตามรีลมาดริดอยู่ 4 แต้มเป็นปัญหาที่ไม่น่าจะเกิดกับทีมที่"แข็งแกร่งที่สุดในประวัติ ศาสตร์"อย่างที่ 2 ผู้นำบาร์ซ่ากล่าวอ้างได้เลย และเมื่อพินิจดูแล้วปัญหาเกิดฟอร์มการเล่นทีมเยือนแย่ชัดเจนเมื่อเก็บชัยชนะ ได้เพียง 4 นัดจาก 14 นัดเท่านั้น ถึงแม้จะแพ้แค่ 3 นัด เสมอ 7 นัด ส่วนใหญ่แล้วเป็นการแพ้และเสมอที่ทีมนำอยู่ดี ๆ มาโดนท้ายเกมส์และแก้ไม่ได้เรื่อยไป เมื่อมานั่งวิเคราะห์ปัญหาจริง ๆ แล้ว นั่นคือทุกทีมรู้ว่าจเล่นกับบาร์เซโลน่าอย่างไรในบ้านของเขาเอง สูตร 4-3-3 ไรจ์การ์ดกลายเป็นสูตรสำเร็จที่ตายตัวและเป็นสูตรที่โค้ชทุกทีมสโมสรยุโรป รู้จักและรู้จุดอ่อนจุดแข็งทุกอย่าง ดีไม่ดีรู้มากกว่าไรจ์การ์ดเองด้วยซ้ำ โดยเจ้าของสูตรแก้ทางคงไม่พ้นทีมเชลซีที่ตอนนั้นมีมูรินโญ่คุมทีม และทุกทีมก็ใช้สูตรแก้นี้หมด เลยเป็นสาเหตุให้บาร์ซ่าที่ยังใช้การเล่นแบบเดิม แก้เกมส์แบบเดิมหาชัยชนะได้อย่างยากเย็นแสนสาหัสเมื่อไปเยือนทีมที่เขารอการ ต้อนรับด้วยสูตรแก้ 4-3-3 ดังนั้นชัยชนะ 4 นัดในเกมส์เยือนที่บาร์ซ่าได้มาก็ได้มาจากการขย่มทีมอ่อน ๆ ด้วยฝีมือเฉพาะตัวของนักเตะชั้นอ๋อง หรือลูกยิงช่วยชีวิตท้ายเกมส์จากซาบี้เรื่อยไป

เห็นได้ว่าแม้บาร์ซ่าจะมีชื่อผู้ เล่นชั้นยอดทั้งทีม แต่ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จเสมอไป นอกจากสูตร 4-3-3 เริ่มจะแป้กแล้ว ผู้เล่นแต่ละตำแหน่งกลับไม่สมดุลกันอีก ผิดกับปี 2005 ที่บาร์ซ่าฉลองดับเบิ้ลแชมป์มา ทั้ง ๆ ปีนั้นชื่อชั้นผู้เล่นก็ธรรมดา ๆ และเมสซี่เจ็บยาวไปค่อนปี แต่การลงตัวของสูตร 4-3-3 กับนักเตะเป็นสมการที่ทำให้บาร์ซ่าของไรจ์การ์ดเป็นดรีมทีมรุ่นที่ 2 ต่อจากทีมของโยฮันครัฟต์เมื่อคว้าแชมป์ยุโรปให้บาร์ซ่าหนแรก สมการตอนนั้นคือ 4-3-3 ที่มีหัวใจหลักแตกต่างกับปัจจุบันคือผู้เล่นสำรองที่พลิกเกมส์ได้อย่าง ชูลี่และลาร์สสัน

ปี 2005 ที่บาร์เซโลน่าคว้าแชมป์ลาลิก้าโดยทิ้งมาดริดร่วม 13 แต้มก่อนฉลองแชมป์ บาร์ซ่าไร้ตัวหลักอย่างเอ็ดมิลสัน และเมสซี่ที่เจ็บยาวต้องพัก 4 เดือน แต่การเจ็บของท้งคู่ทำให้ทีมบาร์ซ่าลงตัวไปกว่าที่มีเสียอีก เมื่อโกล์ บัลเดส เข้าฝักโชว์ฟอร์มเยี่ยมมาตลอดการันตีด้วยรางวัลซาโมร่า แผงหลังอย่างปูโยล มาร์เกซแน่นหนาแข็งแกร่งด้วยแบคอย่างโอเลเกร์และจิโอที่รักษาตำแหน่งได้ดี เอามาก ๆ และสามารถเปลี่ยนเอาเบลเลตติและซิลวิญโญ่แบคจอมบุกทำเกมส์บุกแก้เกมส์ได้ทุก ครั้งผิดกับปัจจุบันที่แผงหลังรั่วได้ใจทั้ง ๆ ดีกรีแผงหลังในปัจจุบันมีชื่อชั่นระดับสูงกว่าแท้ ๆ

ในขณะที่ตอนนั้นแดนกลางที่มีซาบี้ และอิเนสต้าเก็บบอลครองบอลให้กับทีมและมีเดโก้คอยบุกทำให้เกมส์ลื่นกว่า ปัจจุบันที่ไรจ์การ์ดไม่ใช้งานเดโก้เท่าไรนักเนื่องจากบาดเจ็บบ่อยครั้งและ การเข้ามาของตูเร่และฟอร์มเทพของอิเนต้าและซาบี้ แต่กลับกลายเป็นว่าแดนกลางตัวทำเกมส์อย่างซาบี้ และอิเนสต้าไม่ถนัดทำเกมส์บุกเร็ว ทำให้กองกลาง 3 คนไม่สร้างสรรค์เกมส์เร็วได้เลย ไม่แปลกที่ฝ่ายตรงข้ามจะยกพลไปป้องกันฝั่งตัวเองได้หมดในขณะที่ซาบี้และอิ เนสต้าคอยวนรักษาบอลและมองหาเพื่อน ๆ ข้างหน้าเพลินบ่อยครั้ง อิเนสต้ามีนิสัยล็อควนหลบ ครองบอลเลิศ แต่ยิงไกลระดับลีกเอเชียกับซาบี้ที่ติดกับสโลแกนของตัวเองเครื่องจักรจ่าย ลูกที่แม่นยำ ถ้าไม่ชัวร์จริงไม่จ่าย ผิดกับเดโก้ ซูซ่า ไดนาโมแดนกลาง ไม่เคยสนใจเรื่องหยุมหยิมอย่างครองบอล จ่ายบอล พี่แกบุกอย่างเดียว ได้บอลเลี้ยงบุก ได้บอลรีบจ่ายไกล จึงมักเห็นพี่แกทำบอลหลุดหลายครั้งไม่ว่าจะจ่ายพลาดหรือเลี้ยงเพลินไปยังดง ศัตรู แต่ถ้าคิดดูดี ๆ เกมส์บุกที่มีประสิทธิภาพจากกลางทุกลูกมาจากชายชื่อเดโก้ แม้กระทั่งลูกฟรีคิก พี่แกไม่เป็นรองแม้กระทั่งโรนัลดินโญ่ ฟรีคิกเกอร์ของทีมด้วยซ้ำ

ปัจจุบันอนาคตเดโก้กลับไม่แน่นอน เมื่อการเข้ามาของ 4 กายสิทธิ์ หรือการแฉของเอ็ดมิลสันที่ว่า"แกะดำ" ของทีมบาร์ซ่าเป็นผู้เล่นที่เล่นในตำแหน่งบุกและรับได้ ซึ่งคิดพิจารณาแล้วก็มีเพียง 3 คนในทีมที่เล่นตำแหน่งที่ว่านั้นได้ แน่นอนว่าใคร ๆ ก็เล็งมาที่เดโก้มากกว่า 2 ลูกหม้ออย่างซาบี้และอิเนสต้า รวมทั้งฟอร์มที่ยอเยี่ยมของอิเนสต้าและซาบี้ที่ทำให้ตำแหน่งตัวจริงของเดโก้ ไม่ได้รับการการันตี แต่ถ้าคิดดี ๆ แล้ว อิเนสต้าและซาบี้มีฟอร์มคล้ายกันเกินไปโดยเฉพาะการครองบอลที่เหนียวแน่น แต่จะแตกต่างกันที่คนหนึ่งจ่ายลูกแม่นและยิงไกลดี อีกคนเลี้ยงฝ่าได้เยี่ยมแต่ยิงแถว 2 แย่ และเดโก้คือมิดฟิลด์ที่วิ่งขึ้นลงทั้งเกมส์ บุกตลอด ยิงไกลเยี่ยม ฟรีคิกแจ่ม ซึ่งทั้ง 3 คนมีจุดเด่นด้อยคนและแบบ แต่ปัจจุบันสมดุลเสียเมื่อไม่มีมิดฟิลด์อย่างเดโก้ที่ทำเกมส์บุกได้เร็วที่ สุด จนอดีตนักเตะเทวดาอย่างโยฮัน ครัฟต์ออกมาด่ากองกลางบาร์ซ่าเลยว่า"ทำเกมส์ช้ามาก" ฉะนั้นการครองบอลที่บาร์ซ่าจะครองเหนือกว่าคู่ต่อสู้ทุกครั้ง มากกว่าครึ่งคือการเคาะบอลของแผงหลังและครองบอลอยู่กับที่ของกองกลาง และก็ตามสูตรเมื่อบอลแผงกลางปล่อยช้า แผงหน้าของบาร์ซ่าก็ขึงรอเก้อ กลับกลายว่าการเล่นไดเร็คของบาร์ซ่าคือการใช้ความสามารถของกองหน้าบาร์ซ่า ทั้ง 3 เลี้ยงผ่านแผงหลัง+แผงกลางคู่ต่อสู้นั่นเอง

กลับมาที่แผงหน้า เมื่อสมัยปี 2005 บาร์ซ่าที่ขาดเมสซี่ไปแต่ยังคว้าแชมป์ยุโรปสบาย ๆ เพราะมีชูลี่กับลาร์สสัน บาร์ซ่าในปัจจุบันขาดตัวทำลายไลน์ฝั่งตรงข้าม มีเพียงเอโต้เท่านั้น แต่เอโต้ก็เล่นได้ดีอยู่ตรงกลาง ซึ่งสมัยนั้นมีชูลี่ ปีกตัวจี๊ดวิ่งรับบอลโยนยาวด้วยตำแหน่งการรักษาไลน์ยอดเยี่ยมมาก จึงไม่แปลกที่เห็นชูลี่รับบอลจากเส้นข้างและบุกไปเส้นหลังและเปิดเข้ากลาง ให้เอโต้ รอนนี่หรือลาร์สสันทำประตูบ่อยครั้ง แต่ปัจจุบันไม่มีใครทำแบบชูลี่ได้ เอโต้ยืนริมเส้นก็ไม่ถนัดถนี่ อองรีกับเมสซี่ต้องอาศัยเทคนิคเลี้ยงฝ่าไป ซึ่งหลายครั้งจะโดนซ้อน โดยเฉพาะของเมสซี่โดนซ้อนทางซ้าย เจ้าหนูนี่ก็ไปไม่เป็นเหมือนกัน ในขณะที่ปัจจุบันอาวุธลูกโด่งก็ขาดไปเห็นได้ชัด เกมส์โยนแล้วโหม่งจึงลดตามไปผิดกับเจ้าเวหาอย่างลาร์สสัน ยิงคม เทคนิคเยี่ยม โหม่งยอด และเมื่อพิจารณาแล้ว กองหน้าท้งหมดไม่ว่าโรนัลดินโญ่ เมสซี่ เอโต้ อองรี กุ๊ดยอห์นเซ่น โบยาน โจวานนี่ก็ไม่สามารถเล่นได้หลากหลายเท่ากับช่วงที่มีชูลี่และลาร์สสันคอยสับ เปลี่ยนลงมา ซึ่งดูแนวโน้มแล้ว เจ้าหนูโจวานนี่ ดอสซานโตสมีท่าทีอนาคตจะเป็นปีกตัวจี๊ดเล่นได้คล้ายชูลี่มากสุด

การซื้อตัวผู้เล่นและการดันเยาวชน ขึ้นมาในปีนี้ ถ้าจะให้คะแนนแล้ว คงให้คะแนนตามนี้คือ ตูเร่>อบิดัล>มิลิโต้>อองรี ... จริง ๆ แล้วมิลิโต้ตอนหลังก็เล่นได้ไม่สมฟอร์มเท่าไรนัก ผิดกับอองรีที่เริ่มเข้าใจเกมส์มากขึ้นแล้ว กลายเป็นพ่อพระแอสซิสต์มากขึ้น แต่ด้วยค่าตัวและค่าเหนื่อยที่เป็นรองแค่โรนัลดินโญ่ ฟอร์มแบบนี้ก็ยังไม่ผ่านเท่าไรนัก อบิดัลเองก็สอบผ่าน แต่ความเก๋ายังไม่เหนียวเท่าจิโอแบคคนเก่า มีเพียงตูเร่ที่สอบได้คะแนนดี และน่าจะเป็นตัวหลักของทีมได้อีกนาน และการดันเยาวชนขึ้นมาได้แก่โบยานและโจวานนี่ ดอสซานโตส ก็ถือว่าโอเคระดับหนึ่ง เพียงแต่ว่าในรายของโบยานกลับกลายเป็นตัวหลักที่จะดันมากกว่าโจวานนี่ ซึ่งเป็นเพราะโจวานนี่บาดเจ็บในช่วงสำคัญและเล่นบอลชายเดี่ยวมากเกินไป จริง ๆ แล้วกุญแจการแก้เกมส์ด้วยดาวรุ่งน่าจะอยู่ที่โจวานนี่ด้วยซ้ำด้วยความเร็ว และการเลี้ยงริมเส้นที่ยอดเยี่ยม ซึ่งฟอร์มโบยานเองก็ละม้ายคล้ายสไตเกอร์รุ่นพี่มากกว่าจะมาเล่นริมเส้น

อ่านถึงตรงนี้หลายคนคงอยากรู้ว่า ปลายฤดูกาลจะเป็นเช่นไรเมื่อ 1 ใน 3 ของรางวัลหายไปแล้ว เหลือเพียงลาลิก้าและ UCL ถ้าเป็นที่พรีเมียร์ลีก อาจจะตัดทีมบาร์ซ่าออกจากสารบบนานแล้ว แต่ที่สเปนมีทีมแข็งแกร่งและระบบการเล่นที่ทีมใหญ่ ทีมเล็กมีลุ้นกันได้ตลอด มีที่ไหนที่ทีมแชมป์ลีกจะเป็นแชมป์ได้ด้วยการแพ้ถึง 8 ครั้ง ก็เห็นมีแค่ลีกลาลิก้านี่ละครับ ถ้าพรีเมียร์ลีกแพ้แค่ 3-4 ครั้งก็เลิกฝันคำว่าแชมป์แล้ว สรุปก็ไปสู้กันเองกับ 4 ทีมใหญ่มากกว่า แต่ลีกลาลิก้าพลกผันได้ตลอด ปัจจุบันมาดริดคืนฟอร์ม แพ้ 5 ใน 8 นัดหลังสุด ผลรวมก็แพ้ไป 8 หนแล้ว ในขณะที่บาร์ซ่าแม้เสมอบ่อย แต่แพ้ยากโดยแพ้ 5 ครั้งถือว่าแพ้น้อยสุดในลีก แต่ฟอร์มนอกบ้านนี่สิ ชนะแค่ 4 ครั้ง เป็นชัยชนะนอกบ้านที่เท่ากับทีมบายาโดลิดที่ดิ้นรนหนีตกชั้นอยู่ในขณะนี้เลย ต่อไปนี้ลาลิก้าคงวัดกันแล้วว่ารีลมาดริดจะเลิกพลาดได้ก่อน หรือบาร์ซ่าจะแก้ไขการเล่นนอกบ้านได้ก่อน และการแข่งด้วยกันช่วงท้ายฤดูกาลคงเป็นคำตอบของแชมป์ลาลิก้าแน่นอน ในขณะที่ถ้วยแชมป์เปี้ยนลีก น่าจะวัดกันที่ความนิ่งและเก๋าของบาร์ซ่ากับเกมส์ที่จะเจอกับชาลเก้ นั่นหมายความว่าอนาคตทั้ง 2 รายการน่าจะขึ้นอยู่กับตัวเองมากที่สุดแล้วละ

เขาคือสไตร์เกอร์ที่คมที่สุดในโลกเวลานี้



ถ้า ถามถึงกองหน้าระดับโลกในปัจจุบันที่ยังเล่นอยู่คงต้องนึกถึงชื่ออย่าง เธียร์รี่ อองรี, รุด ฟานนิสเตอรอยด์, เฟอร์นานโด ตอเรส, ดาวิด บีญ่า, ชลาตัน อิบราโมวิช เป็นต้น แต่ ณ เวลานี้คงไม่มีใครที่ไม่สามารถกาชื่อของ “ซามูเอล เอโต้” ของทีมบาร์เซโลน่าทิ้งจากลิสต์ได้เลย เพราะเขาไม่ธรรมดาด้วยมีสถิติยิงประตูต่อเกมส์ในลีกถล่มทลายที่ดีที่สุดใน โลกตลอด 5 ปีผ่านมา และเฉพาะปีนี้ยิงไป 13 ลูกใน 10 แมตช์ แถมเป็นแฮตทริคที่สองในฤดูกาลนี้เสียด้วย โดยเฉพาะนัดที่แล้วตะบันไป 4 ลูกเพรียวๆไม่มีลูกโทษ [อะไรมันจะโหดกริบปานนั้น]

ซามูเอล เอโต้เดิมเป็นเด็กปั้นของทีมเรอัล มาดริด คู่แค้นของทีมบาร์เซโลน่าสังกัดปัจจุบัน แม้ว่าจะอยู่ในทีมระดับโลกอย่างเรอัลมาดริด แต่เอโต้กลับระหกระเหินอยู่ในทีมสำรองชุดBบ้าง โดนปล่อยเกาะให้เขายืมไปทั่วตลอด แทบไม่เคยสัมผัสผิวหญ้าของสนามเบอร์นาบิวเสียเลย ในที่สุดก็เป็นบาร์เซโลน่าทีมคู่อริตลอดกาลคว้าตัวมาด้วยมูลค่า 24 ล้านยูโรพร้อมคำแถลงการณ์ของประธานมาดริดสมัยนั้นว่า มาดริดมียอดกองหน้าอย่างโรนัลโด้และราอูลอยู่แล้ว เมื่อเทียบกับเอโต้จึงไม่มีคุณค่ากับเรอัลมาดริดเลย เป็นเหตุให้เอโต้จงเกลียดจงชังเรอัลมาดริดมาโดยตลอด

แต่แล้วแฟนของ เรอัลมาดริดก็คงทำตาปริบ ๆ เมื่อซามูเอล เอโต้ระเบิดฟอร์มยิงให้บาร์ซ่าเป็นแชมป์ทันทีในปีนั้นด้วยจำนวน 24 ประตูในลีก เกือบจะคว้ารองเท้าทองคำอยู่แล้วเป็นรองแค่ฟอร์ลันที่บาร์ซ่าดันแจก 3 ลูกให้ทีมบียารีลล์ในโค้งสุดท้ายเสียงั้นไป แต่ปีต่อมาก็ไม่ทำให้ผิดหวังยังคงยิงไป 26 ลูกในลีกคว้าปีปีซี่รางวัลดาวยิงสูงสุดของลาลิก้า แต่ 2 ปีให้หลังมีอาการบาดเจ็บพักไปครึ่งฤดูกาลทำให้ลงเล่นน้อย แต่อย่างไรก็ดีเมื่อรวมจำนวนการเล่นในลีกและการทำประตูตลอด 5 ปีนี้กับบาร์เซโลน่า ซามูเอล เอโต้ยิงประตู 90 ลูกในจำนวน 118 แมตช์ เป็นค่าเฉลี่ยสูงถึง 0.76 เท่ากับว่าทุก 3 เกมส์เขายิงได้ 2 ประตูนั่นเอง!! ดีกว่าเธียร์รี่ อองรีและรุดฟานนิสเตอรอยด์สุดยอดจอมถล่มประตูเสียอีก

แต่ปัญหาที่ทุกคนทั้งแฟนบาร์เซ โลน่าและแฟนทีมอื่น ๆ สงสัยกันว่า ในเมื่อฟอร์มยิงประตูดีทุก ๆ ปีแล้ว ทำไมซามูเอล เอโต้คนนี้ถึงโดนเทรนเนอร์ใหม่อย่าง โจเซฟ กวาร์ดิโอล่า [เป๊ป] และบอร์ดชุดนี้ประกาศขายทิ้งได้ในซัมเมอร์ที่ผ่านมา เชื่อไหมว่าแม้บาร์ซ่าตั้งค่าหัวไว้ที่ 35 ล้านยูโร แต่จริง ๆ แล้วหลายฝ่ายเชื่อกันว่าถ้าได้ 30 ล้านยูโรหรือเงินเพียง 20 ล้านปอนด์ บาร์ซ่าก็คงปล่อยได้ไม่ลังเลแล้ว และทีมที่สนใจอย่างลิเวอร์พูล, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็คงไม่มีปัญหากับเงินแค่นี้ในการถอยกองหน้าสังหารประตูคมกริบคนนี้ หรือแม้กระทั่งอาเซนอลใจกล้าที่จะแลกกับอเดบาร์ยอร์ก็คงได้เอโต้ไปเสริมความ คมกองหน้าที่ฝืดสนิทตอนนี้ไม่ยากเลย กลับกลายเป็นว่าทุกทีมมองห่าง ๆ กันหมดและไม่มีทีมใดยื่นความจำนงค์จริงจังเลยแม้แต่ทีมเดียว กลับไปทุ่มเงินซื้อกองหน้าในลีกตัวเองด้วยราคาแพงลิบลิ่วกันหมด

สาเหตุ นั้นเพราะว่า ซามูเอล เอโต้ เรียกค่าเหนื่อยที่สูงเอามาก ๆ แม้กระทั่งบาร์เซโลน่ายังตัดสินใจเลยว่าคงไม่ต่อสัญญาอีกเป็นแน่ เพราะพี่แกคงเรียกแพงขึ้นอีกโขเลย อีกทั้งเอโต้นั้นติดลิสต์เป็นกองหน้าเจ้าปัญหาคนหนึ่งเลยทีเดียว เอโต้นั้นมักเป็นที่รักของแฟน ๆ ชาวเบลลากราน่าเพราะคารม ฝีปากของเขาหวานกับแฟน ๆ เหลือเกิน แต่ความเป็นจริงแล้ว พฤติกรรมในสนามและนอกสนามของเอโต้ต่างกันมากทีเดียว ในสนามเขาทุ่มเทเต็มร้อย วิ่งไม่หยุดหย่อน ยิงประตูสลุต เวลาให้สัมภาษณ์ก็ทำให้แฟน ๆ เคลิ้มกันทุก ๆ คน แต่นอกสนามนั้น เอโต้ก็ไม่ด้อยกว่าเพื่อนร่วมทีมอย่างโรนัลดินโญ่ที่ติดเที่ยวและปาร์ตี้เลย เพราะคู่นี้ก็ชอบนัดไปเที่ยวกันหลายครั้งทีเดียวในสมัยแฟรงค์ ไรจ์การ์ดคุมทีมตอนปลาย สื่อและผู้คนก็เริ่มจับตามองว่า ทั้ง 2 คนนี้ไม่ทุ่มเทให้ทีมเสมือนช่วงบาร์ซ่าคว้าดับเบิ้ลแชมป์เสียแล้ว

หลัง คว้าแชมป์ทั้งลาลิก้าและ UCL มีนักเตะอยู่ 3 คนที่ดูแตกต่างไปจากเดิม คือไม่สนใจการเล่นกับทีมเหมือนเดิม โดดซ้อม อู้ และไร้ใจบ่อยครั้ง คือ เดโก้, โรนัลดินโญ่ และเอโต้ ซึ่งเสมือนว่าเขาทั้ง 3 คว้ารางวัลให้ทีม รางวัลส่วนตัวมาเกือบทั้งนั้นแล้ว และก็ถึงใกล้จุดสูงสุดของฝีมือและอาชีพ รายของโรนัลดินโญ่ก็มีข่าวเสีย ๆ หาย ๆ มาตลอดเป็นนิจ แต่สำหรับเอโต้ทุกคนยังสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ย้อนกลับไปปี 2006 ในรอบแบ่งกลุ่ม UCL กับแวเดอร์ เบรเมน เอโต้ได้รับบาดเจ็บหนักที่สุดในอาชีพเขา ต้องผ่าตัดเข่าขวาและแพทย์ลงความเห็นให้พัก 3 เดือน แต่เอโต้พักลากยาวไปถึง 5 เดือน โดยช่วง 2 เดือนหลังเขาเดินร่อนสะดวกไปดูการแข่งขันของทีมบาร์ซ่าบ้าง ไปดูการแข่งรถ Motor GP บ้าง แต่กลับไม่สนใจการเรียกความฟิตให้กับทีมเลย โดยให้สัมภาษณ์เพียงว่า “ผมจะไม่ลงเล่น ถ้าไม่รู้สึกฟิต 100%” แม้กระทั่งกลับมาเรียกความฟิตกับทีมในตอนหลังจนได้นั่งในม้านั่งสำรอง ก็ยังปฎิเสธกับไรจ์การ์ดที่จะลงเล่นเมื่อไรจ์การ์ดเรียกให้ลงอีกด้วย ทำให้ไรจ์การ์ดหัวเสียมากถึงกับให้สัมภาษณ์ว่า “เขาไม่ต้องการจะลงเล่น ผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไม” ขนาดเพื่อนรักอย่างโรนัลดินโญ่ยังไม่สบอารมณ์กับเรื่องนี้เท่าไรนัก

และ เหตุการณ์เดิม ๆ ก็เกิดขึ้นอีก เอโต้เจ็บซ้ำกับแมตช์อุ่นเครื่องถ้วยกัมเปอร์ก่อนเปิดฤดูกาล 2007 กับทีมอินเตอร์ มิลาน และเอโต้ก็เจ็บลากยาวกว่ากำหนดเช่นเดิม เหตุการณ์นี้ทำให้ลาร์ปอร์ต้า ประธานบาร์ซ่าเริ่มไม่รับประกันในตัวเอโต้ที่เคยลั่นไว้ว่าจะไม่ขายแน่นอน อีกต่อไป แต่แล้วเหตุการณ์ที่ทำให้เอโต้แตกหักกับแฟน ๆ บาร์เซโลน่าของแท้อยู่ที่ก่อนแมตช์ ”เอล คลาสิโก้” กับเรอัล มาดริดนัดก่อนจบฤดูกาล เป็นแมตช์ที่บาร์ซ่ายำบาเลนเซียกระจายในบ้านถึง 6-0 แต่แล้วการกระทำที่ไม่เป็นมืออาชีพของเดโก้และเอโต้ทำให้แฟนเบลลากราน่าไม่ ลืมเลือน เมื่อไปเจตนาทำฟาวล์ที่ไม่จำเป็นในเกมส์ที่ขาดแบบนี้เพื่อเรียกใบเหลืองใบ ที่ 5 ให้ตัวเองทำให้ต้องโดนแบนในนัดเอลคลาสิโก้ในนัดถัดไป สำหรับแมตช์กับเรอัลมาดริด แฟนทั้ง 2 ทีมยกชูให้เป็นแมตช์ที่สำคัญที่สุดของทุกฤดูกาลเพราะเสมือนเป็นสงครามของชน ชาติทีเดียว แต่ทั้ง 2 คนกลับแสดงพฤติกรรมไม่อยากลงเล่นในแมตช์เปลืองแรงที่เรอัล มาดริดเป็นว่าที่แชมป์ในปีนั้นไปแล้ว และบาร์ซ่าก็ปราชัยด้วยสกอร์ 4-1 เพราะไม่มีตัวหลักอย่างโรนัลดินโญ่ เดโก้และเอโต้ ซึ่งทั้ง 3 คนไม่มีใครต้องการลงเล่นในแมตช์นี้เลยแม้แต่คนเดียว [โรนัลดินโญ่ก็เจ็บยาวและไม่สนใจเรียกสภาพความฟิต] ทำให้ทุกแมตช์หลังจากนั้น แฟนบาร์ซ่าจะคอยโห่ทั้งเดโก้และเอโต้ทุกครั้งเมื่อได้บอล ทำให้เดโก้ขอย้ายทีมด้วยคำพูดที่ลั่นว่า “ผมไม่สามารถเล่นกับทีมในสถานการณ์แบบนี้ได้อีกแล้ว” รวมทั้งเอโต้อีกคนก็อยากย้ายเช่นกันแต่ไม่แสดงออกมากไปกว่าบอกว่า ถ้าเกิดย้ายทีมจริง ก็จะไปเพียงแค่อินเตอร์และเชลซี

เมื่อไรจ์การ์ด ได้ไขก๊อกออกจากทีมบาร์ซ่าไป เทรนเนอร์ลูกหม้อนักเตะตำนานบาร์เซโลน่าอย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอล่าเข้ามาคุมต่อ ก็ไม่ปล่อยให้บุคคลที่ทำให้บรรยากาศในทีมแตกแยกต้องอยู่ต่อไป ประกาศขายไม่ลังเลและเลหลังราคาเสียน่าเกลียด ทำให้เดโก้และโรนัลดินโญ่ย้ายทีมไปด้วยราคาแสนถูกจนน่าตกใจ ก็เหลือเพียงเอโต้ที่ยังมีทิฐิที่ไม่ยอมย้ายถ้าไม่มีข้อเสนอค่าเหนื่อยที่ น่าพอใจ อีกทั้งก็ไม่มีทีมที่กล้าสู้ค่าเหนื่อยและนักเตะที่เสมือนลูกระเบิดที่ไม่ การันตีได้ว่าจะระเบิดในทีมเมื่อไร เมื่อสถานการณ์ผ่านไปเรื่อย ๆ ในตลาดซื้อขายซัมเมอร์ใกล้หมดลง กวาร์ดิโอล่าไม่สามารถหานักเตะใหม่แทนเอโต้ และเอโต้ก็ยังไม่ได้ย้ายทำให้ไม่มีเงินพอซื้อนักเตะที่ล้วนแพงเกินจริงอย่าง อเดบาร์ยอร์หรือดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ ทำให้กวาร์ดิโอล่าต้องใช้เอโต้ลงเล่นในแมตช์อุ่นเครื่องไปก่อน

เมื่อ เจอเทรนเนอร์อย่างเป๊ป ที่เป็นทั้งรุ่นพี่ในทีมมาก่อนและบารมีสูงพอที่ไม่สนใจสตาร์หน้าไหน ๆ ในทีม [เขาเป็นตำนานกัปตันบาร์ซ่าและที่รักแฟนบอลตลอดกาล ในถิ่นนี้จะมีใครบารมีใหญ่กว่าเขาอีกละ?] อีกทั้งไม่มีทีมใดกล้าสู้คว้าตัวเอโต้ไปร่วมทีม ทำให้เอโต้ต้องปรับตัวเรียกศรัทธากับเพื่อนร่วมทีม กับโค้ช กับบอร์ดและแฟนบอลอีกครั้งให้ได้ และสิ่งนั้นก็มีแค่ “การยิงประตู” เท่านั้น และเอโต้ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ซ้อมอย่างทุ่มเท ลงสนามเต็มร้อย ประพฤติตัวอย่างดีงามในกรอบ และที่สำคัญยิงประตูในรอบอุ่นเครื่องมันเกือบทุกนัดเฉลี่ยนัดละ 1-2 ประตู ทำให้เป๊ปที่เคยเรียกอองรีมาถกว่าจะให้ยืนเป็นตัวหลักในทีมของเขา [แทนเอโต้ที่ค้องการโละ] ต้องเปิดใจและให้พื้นที่ตัวจริงแก่เอโต้โดยไร้คำโต้แย้ง

และเอโต้ก็กลับมาอยู่ในใจแฟน ๆ ชาวบาร์เซโลน่าอีกครั้ง เมื่อยิงไป 13 ลูกใน 10 นัดของลาลิก้า [เฉลี่ยนัดละ 1.3 ลูก!!] โดยทำแฮตทริคไป 2 นัดจาก 10 นัด เรียกได้ว่าจะมีสักกี่คนบนโลกทำได้กัน ทำให้แฟน ๆ บาร์ซ่าเป่าปากโล่งเพราะเกือบเสียดาวยิงมฤตยูดำทีมนี้ไปแล้ว ลองคิดว่าราคาแค่ 20 ล้านปอนด์ถ้าขายไปให้ลิเวอร์พูล คงทำประตูเคียงข้างตอเรสกันอย่างเมามันส์ หรือไปแมนเชสเตอร์ ยูไรเต็ดก็เล่นกับโรนัลโด้โชว์ยิงกันสนั่น ไม่ก็อาเซนอลที่สไตล์บอลบนพื้นที่หาจังหวะจบไม่ลงตัวในปีนี้มีเอโต้คอยซัดจบ สกอร์ให้ หรือแม้กระทั่งเชลซีที่จะบวกสกอร์ให้กระจายมากกว่านี้เป็นเท่าตัวไม่ยากแล้ว ก็เป็นเคราะห์ดีของแฟน ๆ ทีมบาร์ซ่าและเป็นที่เสียดายของทีมอื่นอยู่เหมือนกัน และด้วยฟอร์มแบบนี้ของเอโต้ ถ้าไม่เจ็บไปในฤดูกาลนี้ รางวัลรองเท้าทองคำต้องตกเป็นของเขาอย่างไร้ข้อสงสัยแน่นอน


จบด้วยสถิติแฮตทริคอันน่าทึ่งของเอ โต้ในปี 2008
24 กุมภาพันธ์ 2008 ในแมตช์กับเลบานเต้ เอโต้ทำแฮตทริคโดยใช้เวลายิงทั้ง 3 ลูกรวดใน 31 นาที
25 ตุลาคม 2008 ในแมตช์กับอัลเมเรีย เอโต้ทำแฮตทริคที่เร็วที่สุดในสโมสรบาร์เซโลน่า 3 ลูกด้วยเวลา 23 นาที
8 พฤศจิกายน 2008 ในแมตช์กับบายาโดลิด เอโต้ยิงไป 4 ลูกในครึ่งแรกนาทีที่ 44 เป็นอีกครั้งที่ทำลายสถิติของสโมสรและก็เป็นแฮตทริคที่ 3 ของปีนี้อีกด้วย

ปล.มีคนสงสัยว่าวัดจากไหนคมไม่คม บทความ ณ ที่นี้วัดจากค่าสัมประสิทธิ์การยิงประตูต่อแมตช์แต่ละลีกใน 5 ปีนี้นะครับ จะเรียงลำดับที่น่าสนใจให้ละกัน

ซามูเอล เอโต้ ยิง 90 ลูกใน 118 แมตช์ เฉลี่ย 0.76
เธียร์รี่ อองรี ยิง 78 ลูกใน 119 แมตช์ เฉลี่ย 0.65
รุด ฟานนิสเตอรอยด์ ยิง 72 ลูกใน 119 แมตช์ เฉลี่ย 0.61
ดาวิด บีญ่า ยิง 84 ลูกใน 146 แมตช์ เฉลี่ย 0.57
ชลาตัน อิบราโมวิท ยิง 61 ลูกใน 128 แมตช์ เฉลี่ย 0.48
เฟอร์นานโด ตอเรส ยิง 56 ลูกใน 151 แมตช์ เฉลี่ย 0.37

หรือเขาคือมนุษย์ต่างดาว ลิโอเนลเมสซี่!?



"40 วินาที"

ราว กับชื่อของเด็กหนุ่มที่มีความฝันโดนจดลงในสมุดแห่งความตายไป 40 วินาที และก็จบสิ้นลงราวกับชีวิตของเขาได้โดนยมฑูตพรากเอาไปแล้ว

เด็ก หนุ่มที่มีความฝันว่าจะได้มายืนในสถานที่ที่วีรบุรุษเปรียบเสมือนพระเจ้าของ เขาอย่างได้ภาคภูมิครั้งแรกของชีวิต กลับมีชีวิตในเวทีแห่งนั้นเพียง 40 วินาที

เวที แห่งนั้นคือฟุตบอลทีมชาติอย่างเป็นทางการของทีมชาติอาร์เจนติน่า และเด็กหนุ่มที่ลงสนามภายใต้เสื้อทีมชาติชุดใหญ่ครั้งแรกกลับยืนบนสนามได้ เพียง 40 วินาทีก่อนโดนใบแดงไล่ออกจากสนามอย่างน่าชี ช้ำที่สุด และเขาก็เดินออกจากสนามด้วยน้ำตา

ชื่อ ของบุรุษที่พระเจ้าไม่รักคนนั้นคือ "ลิโอเนล เมสซี่"

เมื่อ ตอนที่แล้ว ลิโอเนล เมสซี่ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจเป็นพระเจ้าให้กับหลายๆ คนไปแล้ว แต่สำหรับคู่แข่งที่ต่อกรกับเมสซี่นั้น เขาเปรียบเสมือนมนุษย์ต่างดาวดี ๆ นี่เอง อย่างว่าคนธรรมดาชาวโลกที่ไหนจะต่อกรกับมนุษย์ต่างดาวได้กันละ

ก่อน ที่เมสซี่จะถูกยกย่องว่ามีฝีเท้าอันอันดับหนึ่งของโลก ย้อนไปสมัยที่เมสซี่ได้เล่นให้กับบาร์เซโลน่าชุดใหญ่อย่างเป็นทางการ เมื่อเมสซี่พาทีมอาร์เจนติน่าคว้าแชมป์ U-20 และ ได้รับฉายานิวมาราโดน่า บาร์เซโลน่าที่นำทีมโดยแฟร้งค์ ไรจ์การ์ดก็เตรียมดันเจ้าหนูอัจฉริยะรายนี้เล่นทีมชุดใหญ่อย่างเป็นทางการ ทันที แต่วงการบอลสเปนย่อมมีมาเฟียขาใหญ่ เมื่อมีทีมจากลาลิก้าอย่างต่ำ 5 ทีมโดยมีทีมอย่างเรอัล มาดริดที่อยู่เบื้องหลังยื่นเรื่องว่าลิโอเนล เมสซี่ขาดคุณสมบัติการเล่นให้กับทีมบาร์เซโลน่าด้วยกฎผู้เล่น non-EU ที่บาร์ซ่ามีถึง 3 คนไปแล้วสมัย นั้น [โรนัลดินโญ่ เอโต้และมาร์เกซ] ซึ่งจริง ๆ แล้วเมสซี่เป็นเด็กปั้นของบาร์เซโลน่าและใช้ชีวิตอยู่ในสเปนมากกว่า 5 ปีซึ่งมีสิทธิเล่นได้ตามกฎโฮมโกรห์น แต่ช่วงที่ทีมเรอัล มาดริดที่อิทธิพลเหนือทีมอื่นในลาลิก้าในสมัยนั้น ทำให้ทีมบาร์เซโลน่าจำยอมไม่เสี่ยงเมสซี่ลงเล่นในรายการลาลิก้าทั้งหมดจน กว่าจะได้ผลสรุปจากสมาพันธ์ฟุตบอล ทำให้เมสซี่เล่นได้แต่รายการยุโรปหรือแชมป์เปี้ยนลีกเท่านั้น

แม้ จะโดนอำนาจมืดหลายอย่างกลั่นแกล้ง แต่คนคำนวณมีหรือจะสู้ฟ้าลิขิตได้ เพียงแค่รายการแชมป์เปี้ยนลีกนั้นสำหรับพรสวรรค์ของลิโอเนล เมสซี่ก็ทำให้เขาโด่งดังขึ้นทันทีเพียงลงเล่นไม่กี่นัด การลากเลื้อยที่ไม่มีใครบนสนามหยุดได้ ประสานงานกับนักเตะอันดับหนึ่งอย่างโรนัลดินโญ่ ทำให้ในนัดที่แข่งกับอูดิเนเซ่ในปี 2005 เม สซี่ได้รับสแตนดิ้ง โอเวชั่นหรือการยืนขึ้นปรบมือทั่วทั้งคัมป์นูร่วม 7 หมื่นคนในทันที ทำให้ตอนนี้วงการฟุตบอลอาชีพทุกคนเริ่มจดจำลิโอเนล เมสซี่ไปแล้ว

และ แล้วสิ่งที่เมสซี่ภูมิใจที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตก็มาถึง เมื่อเทรนเนอร์ทีมชาติอาร์เจนติน่า โฮเซ่ เปร์เกมาน ได้เรียกเมสซี่ติดทีมชาติอาร์เจนติน่าชุดใหญ่เป็นครั้งแรก และแล้วเขาจะได้ใส่เสื้อทีมชาติเช่นเดียวกับวีรบุรุษของเขาอย่างดีเอโก้ มาราโดน่าแล้ว แต่โชคชะตาไม่เป็นใจ การลงสนาม ครั้งแรกของลิโอเนล เมสซี่ภายใต้เสื้อทีมชาติอาร์เจนติน่าที่เขาใฝ่ฝัน เขาใส่ลงสนามได้เพียง 40 วินาที เมื่อโดนใบแดงไล่ออกจากสนาม เพราะกรรมการเห็นว่าเมสซี่ชักศอกใส่คู่ต่อสู้ที่ดึงเสื้อเขาอย่างหนัก

ลิ โอเนล เมสซี่เดินออกจากสนามด้วยน้ำตาพร้อมกับความทรงจำที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต ครั้งหนึ่ง

25 กันยายน เมสซี่ได้รับพาสปอร์ตสเปนอย่างถูกต้อง แม้หลายทีมในสเปนพยายามขัดขวางเรื่องกฎโฮมโกรน แต่พาสปอร์ตสเปนก็ทำให้ลิโอเนล เมสซี่เล่นกับบาร์เซโลน่าได้ถูกต้องตามข้อตกลงทุกประการได้แน่นอน สามเหลี่ยมมหัศจรรย์เมสซี่-เอโต้และโรนัลดินโญ่ประกาศศักดาให้ทุกทีมลาลิก้า และทุกทีมยุโรปได้รู้ถึงความน่ากลัวอย่างสุดซึ่ง ในฤดูกาลนั้นลิโอเนล เมสซี่พาบาร์เซโลน่าคว้าชัยเหนือทีมเชลซีจากอังกฤษได้อย่างเหนือชั้น ด้วยการแย่งบอลจากเท้าของปีกตัวจี๊ดอย่างรอบเบน และเลี้ยงฝ่าไปจนต้องแทคเกิลทำฟาล์วซึ่งทำให้เดล ฮอร์โน่ได้รับใบแดงไล่ออกจากสนาม ณ วันนั้นทีมเชลซีเสียสถิติไม่แพ้ในบ้านเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี เล่นเอาโค้ชอย่างโชเซ่ มูรินโญ่หัวเสียหาเรื่องกับเด็กวัยเพียง 18 ปี ป้ายสีเมสซี่ต่างๆนาๆ เรื่องนี้ทำให้ทีมเชลซียุคมูรินโญ่เป็นศัตรูกับแฟนบอลบาร์เซโลน่าทั่วโลกไป ทันที ซึ่งแฟนบอลที่รักเมสซี่ต่างต้อนรับมูรินโญ่ด้วยการถ่มน้ำลายใส่รถบัสที่เขา นั่งตลอดทางจากที่พักถึงสนามคัมป์นู และเชลซีก็ตกรอบไปด้วยน้ำมือบาร์เซโลน่าในนัดนั้น หลังจากนั้นทีมบาร์เซโลน่าก็เป็นแชมป์ลาลิก้าและแชมป์เปี้ยนลีกในปีนั้นได้ อย่างยิ่งใหญ่ แม้ว่าช่วงหลังเมสซี่จะได้รับบาดเจ็บไป แต่แฟนบาร์เซโลน่าทุกคนรู้ว่าปีนั้นนอกจากโรนัลดินโญ่แล้ว ก็มีชายชื่อลิโอเนล เมสซี่เป็นฟันเฟืองสำคัญต่อความสำเร็จในครั้งนี้

ปี ถัดมา เมสซี่เจ็บตั้งแต่ต้นฤดูกาล และผลงานบาร์เซโลน่าก็ต่ำลงเนื่องจากเกมส์รุกของทีมมาถึงทางตัน แต่เมื่อเมสซี่กลับมาลงสนามอีกครั้ง เวทมนตร์ของเขาไม่หายไปไหนแถมยังทวีคูณขึ้นด้วยซ้ำ เขาสร้างปรากฎการณ์ที่แฟนทีมบาร์ซ่าและเรอัลมาดริดลืมไม่ลง เมื่อบาร์เซโลน่าเหลือ 10 คนต่อกรกับเรอัลมาดริด ด้วยสกอร์เป็นรอง แต่ลิโอเนล เมสซี่โชว์ฟอร์มพระเจ้าซัดแฮตทริคใส่เรอัลมาดริดสำเร็จในช่วงทดเวลา สร้างประวัติศาสตร์นักฟุตบอลที่อายุน้อยที่สุดที่ยิงแฮตทริคในเกมส์เอลคลาสิ โก้เลยทีเดียว

เวท มนตร์เมสซี่ยังไม่หมดเท่านั้น ฉายานิวมาราโดน่าตกเป็นของลิโอเนล เมสซี่ไปถาวรทันทีเมื่อเมสซี่ลงแข่งกับทีมเคตาเฟ่ เมสซี่ลากบอลครึ่งสนามหลบผู้เล่น 5 คนก่อน กระชากหลบโกล์ยิงประตูไปอย่างเหนือชั้น คล้ายคลึงที่พระเจ้าอย่างดีเอโก้ มาราโดน่าเคยทำกับทีมชาติอังกฤษแทบทุกกระเบียดนิ้วเพียงแต่เมสซี่ยิงด้วย เท้าขวาแทนเท้าซ้ายเช่นมาราโดน่าเท่านั้น

และ ยิ่งตอกย้ำความเสมือนไปอีกกับอีกหนึ่งลูกที่ระบือโลก เมื่อเมสซี่ทำ "แฮนด์ออ ฟก็อด" ใช้มือปัดบอลเข้าประตูทีมเอสปัญญ่อลผ่านหน้าผู้รักษาประตูไปต่อหน้าต่อตา คล้ายกับที่มาราโดน่าเคยทำเอาไว้ไม่ผิดเพี้ยน และเป็นลูกที่สร้างชื่อให้มาราโดน่าเป็นเทพบุตรลุกหนังลูกหนึ่งเสียด้วย แม้ฤดูกาลนี้จบที่บาร์ซ่าไม่ได้แชมป์ แต่ชื่อของลิโอเนล เมสซี่กลายเป็นชื่อที่นักฟุตบอลและแฟนบอลทั่วโลกไม่มีใครไม่รู้จักอีกต่อไป

ปี 2008 ลิโอเนล เมสซี่ได้รับเบอร์เสื้อหมายเลข 10 ของบาร์เซโลน่าแทนโรนัลดินโญ่อดีตนักเตะหมายเลข 1 ของโลก และผู้ที่สามารถสวมเสื้อหมายเลข 10 ของบาร์เซโลน่าได้ก็ต้องเป็นผู้ที่เก่งที่สุดในโลกเท่านั้น ไม่ผิดเพี้ยนเลยเมื่อเมสซี่พาทีมชาติอาร์เจนติน่าคว้าแชมป์โอลิมปิคได้และ สั่นสะเทือนวงการฟุตบอลทั่วโลกเมื่อพาทีมบาร์เซโลน่าด้วยการคุมทัพของโจเซฟ กวาร์ดิโอล่า ทำผลงานน่าทึ่งมากมายด้วยการเล่นฟุตบอลบุกที่ดีที่สุดในโลกจนใครๆก็ชื่นชม เพียงครึ่งฤดูกาลยิงประตูในลีกไป 59 ลูก เสีย 13 เก็บ 50 แต้ม นับว่ามากกว่าทีมใดในลีกลาลิก้าและลีกชั้นนำของยุโรป โดยเฉพาะลิโอเนลเมสซี่ที่เล่น 24 นัด ซัดไป 21 ลูก แอสซิสต์ไป 10 ลูก [ไม่รวมทำให้ทีมได้จุดโทษและให้เอโต้ยิงไปอีก 4 ลูก]

ฟอร์ม ของเขาตอนนี้ ทำให้นักฟุตบอลชั้นนำออกมาสนับสนุนว่าลิโอเนล เมสซี่เป็นนักเตะที่เก่งที่สุดในโลก บางคนถึงขนาดยกย่องเมสซี่ว่าเก่งที่สุดในประวัติศาสตร์โลกฟุตบอล บ้างก็บอกเมสซี่เก่งราวกับมาจากต่างดาว ไม่มีใครทราบว่าเมสซี่กับบาร์เซโลน่าจะไปไกลถึงไหน

เพียง แต่ว่าตอนนี้ไม่มีใครจะมาหยุดลิโอเนล เมสซี่และทีมบาร์เซโลน่าได้ หรืออาจจะต้องให้มนุษย์ต่างดาวมาช่วยหยุดไว้กระมัง

zlatan ibrahimovic คู่ควรกลับบาร์ซ่าหรือไม่ ?


ณ ช่วงยามเย็นวันนี้ในเมืองบาร์เซโล่น่าเมืองหลวงแห่งแคว้นคาตาลัน จะมีการเปิดตัวนักเตะใหม่คนที่ 3 ที่จะมาร่วมทัพบาร์ซ่าในฤดูกาลหน้า.. หลายๆคนคงจะทราบดีว่าเป็นใคร.. แน่นอนเค้าชื่อ สลาตัน อิบราฮิโมวิช กองหน้าที่ดีที่สุดคนนึงของสวีเดนนับจากยุคของเฮนริก ลาร์สสันได้หมดลงไปแล้ว

การดีลครั้งนี้ของเจ้าบุญทุ่มบาร์เซโล น่าได้สร้างความแปลกประหลาดใจไม่ น้อยเลยทีเดียวสำหรับคอบอลทั่วโลก บาร์ซ่าจ่ายเงินสำหรับนักเตะแข้งทองชาวสวีเดนผู้นี้ไปประมาณ 40 ล้านยูโร + กับนักเตะดาวซัลโวของทีมซาูมูเอล เอโต้.. กระแสต่างๆถาโถมเข้ามาทั้งดีและไม่ดีและไม่เป็นไรวันนี้เราจะมาไขก๊อก ปอกเปลือกความสงสัยของแฟนบอลหลายๆคนออกให้เอง

Question 1 : คุ้มไม่คุ้ม ?

เป็นคำถามที่ควรจะขึ้นเป็นอันดับแรกเลย จริงๆ สำหรับคำถามยอดฮิตของเคสการซื้อขายนี้ คุ้มหรือไม่คุ้มกันแน่อันนี้ถ้าบอกกันตามตรงในแง่ของปัจจุบัน แน่นอนครับอินเตอร์คุ้มการได้เงิน + เอโต้นักเตะดาวยิงที่มีสถิติการยิง 20 ประตูต่อฤดูกาลเป็นประกัน

แต่เนื่องจากความท้าทายของเอโต้และด้วย เรื่องทัศนคติบางเรื่องที่ไม่สา มารถจูนเข้าได้กับเฮดโค้ชอย่าง กวาร์ดิโอล่า มันก็เป็นเวลาอันสมควรแล้วที่เอโต้จะโยกย้ายตัวเองไปหาความท้าทายใหม่ๆในลี คอื่น..ซึ่ง ณ จุดนี้บอกได้เลยว่าแฟนบาร์ซ่าไม่มีใครเกลียดเอโต้ครับ

กลับมาที่อิบราฮิโมวิช การมาของสตาร์รายนี้ถ้ามอง ณ ตอนนี้ก็คงมองเป็นอัตรากำไรไม่ถูกละสิ...แต่ถ้ามองยาวๆไปถึงอนาคตแน่นอนว่า การขายเสื้อหรือสปอนเซอร์ต่างๆที่จะถาโถมเข้ามารวมไปถึงโทรฟี่ต่างๆ เราไม่ได้ซื้อเขามาขายเสื้อเราหวังถ้วยแชมป์จากความทะเยอทะยานของเขา แน่นอนและตรงนี้มันคือกำไรที่ควรจะเกิดขึ้นในอนาคต

และกับการที่บาร์ซ่าคว้า "ทริเปิ้ล แชมป์" ในฤดูกาลที่ผ่านมา ผมคงบอกรายรับของบาร์ซ่าของแต่ละถ้วยไม่ได้แต่บอกได้คำเดียวว่า..มหาศาล.. และมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่บาร์ซ่าจะเจียดเงินก้อนโตสัก 40 ล้านยูโรเพื่อซื้อสลาตัน รวมไปถึงนักเตะคนอื่นๆที่เข้ามาก่อนหน้านี้

Questions 2 : สไตล์การเล่น ?

บอล แบบบาร์ซ่าไม่ควรใช่หน้าเป้า..บอลแบบบาร์ซ่าเอากองหน้าที่ไม่ีความเร็วสูง แบบสลาตันมาจะเสียระบบ..และอีกหลากหลายคำถามเกี่ยวกับสไตล์ของสลาตัน ผมก็ไม่ทราบสักทีเดียวนะว่าใครไปกักเกณฑ์สไตล์บาร์ซ่าที่ต้องเป็นแบบนี้ ทั้งๆที่ยุคก่อนเราก็มีกองหน้าที่ช้ากว่าสลาตันและเป็นหน้าเป้าอย่าง "ไคลเวิร์ต"

แต่การเข้ามาของไรจ์การ์ดและเอโต้มันทำ ให้รากเดิมของระบบหน้าเป้านั่น เปลี่ยนไปในอีกทิศทางหนึ่ง การเล่นของเอโต้จะเน้นลงต่ำและเป็นตัวรับบอลจากเพื่อนและชิ่งเปลี่ยนแกนบอล และหลังจากนั้นก็วิ่งไปหาช่องและทำประตู นี่คือคร่าวๆของภาพการเล่นของเอโต้ที่จะเห็นได้ชัดในหลายๆปีที่ผ่านมา

สลาตันล่ะ... สลาตันเป็นกองหน้าที่ไม่เข้ากับบาร์ซ่า..ตัวใหญ่และไม่เข้ากับระบบ.. กลับกันในความเป็นจริงไอดอลกองหน้าที่สลาตันพยายามจะเป็นให้ได้และเอาเป็น แบบอย่างก็คือเหยินใหญ่ "โรนัลโด้" สลาตันได้ฝึกเทคนิคและสไตล์บอลในแบบสไตล์ละตินอเมริกา ซึ่งตอนอยู่อินเตอร์สลาตันก็ได้โชว์ให้เห็นถึงเทคนิคต่างๆทั้งใช้ส้นเท้า ชิ่งบอล การสับขาหลอกต่างๆนาๆ ฯ

และในผืนหญ้าแห่งเวทีลาลีกานั้นล้วนแล้ว แต่มีกลิ่นอายในของละตินอเมริกา ทั้งสิ้น ซึ่งสลาตันถึงเวลาที่จะโชว์ทักษะต่างๆได้อย่างเต็มที่และพื้นที่ในการเล่นก็ คงจะอิสระกว่าเดิมแน่นอนกับบาร์ซ่า

และสิ่งที่บาร์ซ่าขาดก็คือนักเตะแบบ สลาตันนี่แหละ..นักเตะที่จะคอยช่วย ทำประตูให้กับทีมในยามที่กองกองเคลื่อนบอลบนพื้นสู่กองหน้าไม่ได้ หลากหลายครั้งที่เห็นการเล่นบอลยาวของบาร์ซ่าแล้วเอโต้นั้นจะเก็บบอลไม่ค่อย ได้ เรียกได้ว่าไม่มีทางที่จะได้เห็นเอโต้ครองบอลในแดนหน้าเกิน 10 วิในเกมส์ทีีอีกฝ่ายเน้นเกมส์รับบีบพื้นที่มากๆ

ลูกกลางอากาศที่แทบจะไม่ได้เห็นเลยนับ จากการจากไปของแพทริก ไคลเวิร์ต และโรนัลดินโญ่เมื่อกองกลางไม่สามารถเน้นบอลบนพื้นเล็ดลอดไปถึงกองหน้าแน่ นอนการโยนด้วยลูกโ่ด่งมันถูกบีบบังคับต้องใช้กับบาร์ซ่า และการมาของสลาตันจะทำให้ลูกโด่งของบาร์ซ่ามีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอย่างแน่ นอนที่สุด และรวมไปถึงการเก็บบอลแดนหน้าได้ดีด้วยร่างที่สูงใหญ่ยากที่จะเบียดได้ลง เป็นประโยชน์ทีเดียวในการใช้บอลยาวให้สลาตันเก็บบอลได้แดนหน้าและสร้างสรรค์ ต่อยอดให้เกิดประตู

Questions 3 : อัตราการทำสกอร์ ?

สำหรับข้อนี้เอโต้อาจจะมีภาษีที่ดูดี กว่า สลาตันเป็นแท้แน่นอน วัดจากฟอร์มฤดูกาลที่ผ่านมาเอโต้ทำประตูในลีคไปทั้งสิ้น 30 ประตูเป็นรองดาวซัลโวลาลีกา ส่วนสลาตันทำประตูในลีคไปทั้งสิ้น 25 ประตูเบ็ดเสร็จเป็นดาวซัลโวกัลโช่ เซเรียอา..ถ้าจะให้ฟันธงในตอนนี้มันก็น่าน้อยใจเกินไปนะสำหรับสลาตัน

ในฤดูกาลที่ผ่านมาผมยอมรับในฝีเท้าเอโต้ และเอโต้ทำได้ดีมากๆในการวิ่งหา ช่องและจบสกอร์..ความเร็วของเอโต้และความกระหายกลับมาอีกครั้งหลังจากฟอร์ม สากในฤดูกาลสุดท้ายของไรจ์การ์ด แต่เครดิตส่วนใหญ่ที่ควรยกย่องสำหรับ 30 ประตูของเอโต้จริงๆควรเป็นจากแดนกลางและปีก แน่นอนว่าทุกคนนั้นสร้างสรรค์เกมส์และถวายพานผ่านบอลให้เอโต้ไม่รู้เท่าไหร่ ต่อเท่าไหร่

มันไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกที่เอโต้จะทำ ได้ถึง 30 ประตูซึ่งในความเป็นจริงแฟนบาร์ซ่าหลายคนยังคิดเลยว่าถ้าเอโต้ฟอร์มจัดจริงๆ น่าจะทะลุถึง 35 ประตูด้วยซ้ำไป และในช่วงประมาณ 5 แมตช์สุดท้ายในลีกเป็นช่วงที่แฟนบอลลุ้นกันเหนื่อยทีเดียวสำหรับการเบิก สกอร์ในแต่ละลูกของเอโต้ ซึ่งหากมองโดยการเล่นของเอโต้อารมณ์ต่างๆมันเหมือนว่า ทางเดินของเข้ากับลาลีกามันถึงเส้นชัยไปแล้ว

แต่สลาตันซึ่งทำได้ 25 ประตูล้วนทุกประตูสลาตันใช้ความสามารถของตัวเองมากกว่าครึ่งหนึ่งของเพื่อน ที่ช่วยปั้นเกมส์ ไม่ได้ดูถูกเหยียดหยามในกระบวนเกมส์รุกของอินเตอร์แต่อย่างใด แต่จากที่เห็นสลาตันเหมือนว่าเป็นทั้ง เพลเมคเกอร์ และ สไตร์เกอร์ ในร่างคนคนเดียวกันทั้งพาบอลสร้างสรรค์เกมส์ไปทำประตู เป็นตัวจ่ายบอลพักบอลให้เพื่อนร่วมทีม แน่นอนว่าภาระของสลาตันนั้นใหญ่ยิ่งกว่าเอโต้เหลือเกิน

แต่ถ้าลองมโนภาพเล่นๆของ สลาตันในชุดเลือดหมูน้ำเงินโดยที่มีเพื่อนร่วมป้อนบอลให้โดยที่สลาตันแทบจะ ไม่ต้องเหนื่อยมากเท่ากับการเป็นศูนย์รวมเกมส์รุกของอินเตอร์ เชื่อเหลือเกินว่าหลายคนจะต้องมโนภาพสลาตันกับบาร์ซ่าไปได้ด้วยดีแน่นอน

แต่ในส่วนของภาพรวมความหลากหลายใน การทำสกอร์ในข้อนี้เืชื่อว่าหลายคน เห็นพ้องเป็นเสียงเดียวกันว่าสลาตันนั้นเหนือกว่าทั้งลูกโหม่ง ยิงไกล ความหนักหน่วงในการยิง การเบียดกองหลังไปทำประตู ฯ ซึ่งเอโต้ในฤดูกาลที่ผ่านมาความเร็วที่เค้ามีเราแทบจะไม่ได้เห็นบ่อยครั้ง มาก แต่เอโต้จะมีเทคนิคในการยิงบอลจังหวะเดียว หลอกจังหวะกองหลังและหาช่องรอบอลจากเพื่อนแล้วทำสกอร์เสียมากกว่า

สลาตันที่มีอาวุธเพรียบพร้อมและใหม่แกะ กล่อง กับเอโต้ที่มีอาวุธที่น้อยกว่าแต่ดูเหมือนเริ่มสึกหรอขึ้นทุกๆวัน คงไม่น่าแปลกใจที่กวาร์ดิโอล่าจะเปลี่ยนมีดเล่มใหม่


Questions 4 : อีโก้ที่ไม่แตกต่าง ?

บาร์ซ่าได้ตัดเนื้อร้ายอย่างโรนัลดินโญ่ ออกไปในเรื่องที่ทำตัวเหนือกว่าคน อื่นและเป็นแกะดำ...เอโต้ถูกขายออกไปเรื่องทัศนคติไม่ตรงกับกวาร์ดิโอล่าและ อีโก้ที่สูงและเป็นปัญหา การดึงสลาตันมานั้นก็ไม่ "แตกต่าง" เลย !!

เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงสำหรับอีโก้ของ สลาตัน แต่ทว่า...หากมองในมุมกลับกัน สำหรับสลาตันเป็นนักเตะประเภทมีความทะเยอทะยานที่สูงมาก เค้าอยากเป็นกองหน้าที่ดีที่สุดในโลกคนนึง อยากคว้าแชมป์ให้ได้มากที่สุด และไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ แน่นอนที่สุดเราจะได้ประโยชน์จากสลาตันตรงนี้เต็มๆเลยทีเดียว

กับเอโต้ที่บางครั้งหน้าถอดสีก่อนเสียง นกหวีดอารมณ์เสียไปซะหมดเมื่อทีม โดนนำหรือบอลไม่เป็นดั่งใจตัวเอง กับสลาตันมันแตกต่างยิ่งเป็นฤดูกาลแรกกับบาร์ซ่าแน่นอนเราจะไ้ด้ประโยชน์จาก สลาตันตรงนี้ในซีซั่นท์ที่กำลังจะมาถึง แต่บางครั้งสองคนนี้ก็มีอะไรคล้ายๆกันเรื่องการวิ่งไล่บอลหรือจะเรียกภาษา ชาวบ้านก็คือ "ขี้เกียจ" นั่นเอง

แต่ถึงอย่างไรมันก็คงจะมีภาพซ้ำกันในมุม นี้บ้าง ดังนั้น..กองกลางกับปีกของบาร์ซ่าสร้างสรรค์บอลมาให้ผมเถอะแน่นอนผมจะรอยิง มันเพื่อเปลี่ยนสกอร์..ก็แค่นั้น

Last Questions : ประโยชน์จากสลาตัน ?

สลาตันเป็นดาราในคราบนักฟุตบอลคนหนึ่ง บาร์ซ่าได้ทำการคว้าตัวนักเตะผู้นี้มาด้วยราคาก้อนโตพอสมควรมันก็ไม่ใช่ เรื่องที่ผิดธรรมชาติอะไรที่แฟนบอลบาร์เซโลน่าที่โลกจะคาดหวังในตัวสลาตัน เป็นธรรมดา

ประโยชน์ในเชิงด้านกำไรมหาศาลจากตัว สลาตันได้ถกเถียงไปเรียบร้อยแล้ว ต่อมาก็คงเป็นประโยชน์ในเชิงของด้านฟุตบอลจากรูปแบบเดิมๆในระบบ 4 3 3 ของบาร์ซ่า การเข้ามาของสลาตันจะทำให้ตำแหน่งกองหน้าของเอโต้นั้นยืดหยุ่นกว่าที่เคย เป็นแน่ๆ เอโต้เป็นนักเตะแนวเดียวมีด้านเดียวแปรสภาพไปอีกสไตล์แทบจะยาก

แต่ทว่า...ในรายของ สลาตันนั้นจะให้เป็นกึ่งหน้าต่ำที่เป็นคนสร้างสรรค์ บอลให้เพื่อนหรือจะเป็นทั้งกองหน้าตัวเป้าคอยทำสกอร์อย่างเดียวก็ย่อมได้ และอาจจะมีเซอร์ไพร์แผน 4-4-2 หรือ 4-5-1 ในฤดูกาลหน้าให้เห็นก็เป็นได้ เหมือนดั่งที่กวาร์ดิโอล่าได้ทดลองใช้ในบางครึ่งของแมตช์ที่อุ่นเครื่องกับ สเปอร์...มันเป็นเพิ่มมิติของแผนการเล่นและประสิทธิภาพของเกมส์รุก แน่นอนว่าการได้สลาตันมานั้นคงมีเรื่องด้าน + เหนือกว่า - แน่นอน..!!

เมสซี่ สุดยอดนักเตะ


ฤดูกาล 2008/2009 ของเอฟซี บาร์เซโลน่านั้นนับเป็นฤดูกาลที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร ด้วยการเป็นสโมสรแรกในสเปนที่สามารถคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ได้ โดยได้ครองแชมป์ทั้งยูฟ่าแชมป์เปี้ยนส์ลีค โคปปา เดล เรย์ และ ลา ลีกา

และแม้ว่าผลงานอันสุดยอดนั้นจะได้มาด้วย ความที่ทีมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและการร่วมฝ่าฟันจนได้มาซึ่งรางวัลอันยิ่ง ใหญ่ แต่อีกสิ่งหนึ่งที่นำพาให้ทีมสามารถก้าวมาสู่ความยิ่งใหญ่ได้ก็คือผลงานอัน ยอดเยี่ยมของนักเตะฝีเท้าระดับโลก

ผลงานที่เข้าตาที่สุดอาจจะต้องยกให้ลูก ยิ่งแห่งโชคชะตาในช่วงทดเวลาบาด เจ็บของอันเดรียส อิเนียสต้าซึ่งส่งให้บาร์ซ่าได้ไปชิงแชมป์ถ้วย"บิ๊ก เอียร์" ที่กรุงโรม

แต่ในทีมบาร์ซ่านั้นยังมีนักเตะคนหนึ่งที่ สามารถสะกดสายตาของคนทั้งโลกไว้แทบเท้าด้วยผลงาน อันสุดยอดตลอดทั้งฤดูกาลนี้ นักเตะตัวเล็กๆเลือดอาร์เจนไตน์ที่มีเวทย์มนต์วิเศษแผ่ซ่านออกมาจากทุกท่วง ท่าลีลาเมื่ออยู่ในสนาม


นามของเขาคือ "ลีโอเนล เมสซี่"


ผลงานในฤดูกาลนี้ของเมสซี่นั้นยอด เยี่ยมบรรลือโลกจากการทำไปทั้งสิ้น 38 ประตูและ 24 แอสซิส ซึ่งเท่ากับว่าเขาได้รังสรร 62 ประตูจากทั้งหมด 156 ประตูที่บาร์ซ่าทำได้ในฤดูกาลนี้ในทุกรายการที่ลงเล่น นอกจากนั้นยังเป็นดาวซัลโวของแชมป์เปี้ยนส์ลีค ด้วยการพังไปทั้งสิ้น 9 ประตู

แค่เพียงเรื่องของสถิตินั้นยังไม่สามารถ อธิบายความยอดเยี่ยมของเขาได้ครบถ้วนนัก เพราะผลงานของเขาในเกมสำคัญๆกับทีมนั้นยกระดับขึ้นเรื่อยๆ โดยใน เอล คลาสสิโก้เกมแรกที่คัมป์ นู เมสซี่ถูกทำฟาล์วอย่างน่าเกลียดหลายครั้งเพราะนั่นเป็นหนทางเดียวที่พลพรรค ชุดขาวจะหยุดเจ้าหนูคนนี้ได้ แต่กระนั้น เมสซี่ก็ยังเป็นคนที่บรรจงชิพลูกยิงสุดเหนือชั้นข้ามหัวอิเคร์ คาซิยาส นายด่านมือหนึ่งของทีมและของทีมชาติสเปนเข้าไปสู่ก้นตาข่ายชนิดนอกจากจะทำ ให้คาสิยาสได้แต่มองแล้ว แม้แต่คันนาวาโร่ที่ห้อเต็มเหยียดหมายจะควักบอลออกจากปากประตูแต่ก็ไม่เป็น ผลแถมตัวเองยังต้องจูบเสาไปเต็มๆอีกด้วย

แมตช์เจอกับลียง และ บาร์เยิร์น มิวนิค ในรอบ 16 ทีม และก่อนรองชนะเลิศ เมสซี่ยังคงสำแดงเดชอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกับเกมในคัมป์ นู ที่เมสซี่ยิงรวม 3 ประตูและทำอีก 2 แอสซิส ส่งบาร์ซ่าเข้าสูรอบรองชนะเลิศด้วยการถล่มลียงไป 5-2 และ ต้อนบาร์เยิร์น มิวนิคไป 4-0

ในศึกเอล คลาสสิโก้ เลคสองที่เบอร์นาเบว ที่เมสซี่ได้รับคำสั่งให้ประจำอยู่ตรงกลางสนามซึ่งเป็นที่ๆเขาไม่คุ้นเคย เพื่อเล่นงานคู่เซ็นเตอร์สปีดต่ำของมาดริด ซึ่งแน่นอน เมสซี่พาทัวร์คู่เซ็นเตอร์ของมาดริดจนหัวหมุน

เมสซี่ทำไปสองประตูกับอีกหนึ่งแอสซิสสุด งามหยด ที่ทำให้รามอสได้กระโดดหวดลมเล่นก่อนเป็นอองรีที่หลุดเข้าไปล่อเป้าผ่านมือ คาซิยาสเข้าไป และเมื่อสัญญาณนกหวีดสุดท้ายได้สิ้นเสียงลง นั่นก็นับเป็นจุดเริ่มต้นของการบันทึกผลงานสุดอลังการระดับตำนานของบาร์ซ่า ด้วยการต้อนมาดริดเละคาเบอร์นาเบว ชนิดไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ของ เอล คลาสซิโก้ ที่ 6 ประตูต่อ 2 จากรึกตำนานหน้าใหม่ลงสู่ประวัติศาสตร์ของเกมฟุตบอลคู่ที่ห้ำหั่นกันดุเดือด ที่สุดคู่หนึ่งของดวงดาวสีน้ำเงินใบนี้

เกมกับเชลซี หลังจากผ่านเลคลงยันต์ของเชลซีที่คัมป์ นูด้วยสกอร์ไข่สองใบ บาร์ซ่ากำลังจะเพลี่ยงพล้ำให้กับทีมหน้าเดิมจากลอนดอน ที่เขี่ยบาร์ซ่าตกรอบมาหลายครั้ง แต่ก็เป็นเมสซี่นี่เองที่ถวายพานลูกบอลแห่งโชคชะตาให้อันเดรียส อิเนียสต้าตะบันเต็มข้อแบบไม่มองหน้าปีเตอร์ เช็ค ส่งบอลเข้าสู่ก้นตาข่าย และส่งบาร์ซ่าไปที่สนามสตาดิโอ โอลิมปิโก้ ที่กรุงโรม

และก็มาถึงไฮไลต์ของฤดูกาล ณ ที่ๆสายตาหลายล้านคู่ต้องจับจ้องมองมาเพราะว่านอกจากมันจะเป็นนัดชิงชนะเลิศ ของศึกฟุตบอลชิงถ้วยใบเขื่องที่สุดของยุโรปแล้ว มันยังเป็น "ศึกชิงเจ้ายุทภพ" ระหว่างสองเอกบุรุษแห่งโลกฟุตบอลสมัยนี้อย่าง ลิโอเนล เมสซี่ และคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ในสายตาของใครหลายๆคนอีกด้วย ซึ่งผลที่ออกมาก็แสดงให้เห็นเป็นอย่างดีว่ากรุงโรมนั้นได้ตกเป็นของเมสซี่ อย่างหมดจด

ด้วยการเลี้ยงฝ่าแนวกลางของเมสซี่ ทำให้นักเตะแมนฯยูฯ ต้องรุมกันทำฟาล์วเขาถึงครั้งละ 3-4คน และทุกๆครั้งที่เขาถูกทำให้ล้มลง เขาก็จะเป็นคนแรกที่ลุกขึ้นเพื่อที่จะวิ่งต่อไป

และในท้ายที่สุด เมสซี่ก็เป็นผู้จบทุกสิ่งทุกอย่างลง เขาจบทั้งเกมนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรยุโรป จบทั้งฤดูกาลอันเยี่ยมยอดของบาร์ซ่า และจบความฝันในการป้องกันแชมป์ของแมนฯยูฯลงอย่างราบคาบด้วยลูกโขกจากการครอ สของซาบี้ ที่ทำให้ฟาน เดอร์ ซาร์ได้แต่ยืนปากหวอพร้อมๆกับส่งให้แฟนแมนฯยูฯต้องกลับบ้านนอนน้ำตาเปียก หมอนกันไป บาร์ซ่าชนะ 2-0 และเติมเต็มฤดูกาลอันสุดยอดด้วยถ้วยแชมป์ใบที่สาม

นอกจากนี้แล้ว ผลงานเด่นๆของเมสซี่ในปีนี้ยังมีอีกมาก เช่นการทำแฮตทริกใส่แอตฯมาดริด การลงจากม้านั่งสำรองมายิงราซิ่งรวดเดียว 2เม็ด ส่งทีมแซงชนะไปด้วยสกอร์ 2-1 หรือในเกมโคปปา เดล เรย์รอบชิง ที่เมสซี่กดไป 1 และแอสซิสไปอีก 2

หลังพ้นจากฝันร้ายที่ต้องบาดเจ็บตลอด 3 เดือนในฤดูกาล 2007/2008 เขายังคงได้เป็นผู้ท้าชิงรางวัลบัลลงดอร์ และแม้ว่าเขาจะต้องลงเล่นกับแมนฯยูฯโดยต้องพันผ้าพันแผลที่สะโพก แต่เมสซี่ก็เป็นเพียงคนเดียวในทีมที่เล่นได้อย่างโดดเด่น ก่อนที่ทีมจะต้องกระเด็นตกรอบไปด้วยสกอร์รวม 1-0

ดิเอโก้ มาราโดน่าเป็นคนที่ออกมายอมรับด้วยตัวเองว่า ลีโอนั้นคือผู้สืบทอดตัวจริงของเขา และบรรดาแข้งเทพในอดีตและบรมกุนซือทั้งหลายอย่างมาร์เซโล่ ลิปปี้ เจอร์เก้น คลินส์มัน กุส ฮิดดิ้ง แม้กระทั่งตัวอเล็กซ์ เฟอร์กูสันเองก็ยังออกปากยอมรับว่าไม่มีนักเตะคนใดในโลกตอนนี้ที่เหมือนกับ เมสซี่

และสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับคู่แข่งก็คือ เมสซี่เพิ่งมีอายุเพียง 22 ปี (เมื่อ 24 มิถุนายนที่ผ่านมา) เท่ากับว่าเขาจะยังมีเวลาพาทัวร์กองหลังคู่แข่งไปอีกกว่าสิบปี และถ้าหากคำกล่าวที่ว่านักฟุตบอลจะสุดยอดเมื่ออายุ 27 และ 31 ปีเป็นจริง นั่นหมายความว่าเมสซี่ยังอยู่ห่างจากจุดสูงสุดของเขาอีกถึง 5 ปี ซึ่งใครเล่าจะสามารถจินตนาการถึงความเก่งกาจของเขาในตอนนั้นได้ว่าเขาจะเก่ง แค่ไหน?

ฉะนั้นมันคงไม่ต้องสืบอีกแล้วว่าใครเหมาะ สมที่จะได้รับรางวัล บัลลงดอร์ในปีนี้ ด้วยผลงานการคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ลีค ลา ลีกา และโคปปา เดล เรย์ ทำ 38ประตู และ 24แอสซิส มันคงจะเป็นเรื่องช็อคโลกทั้งโลกหากชื่อที่สลักอยู่บนลูกฟุตบอลทองคำนั้น เป็นชื่ออื่นที่ไม่ใช่ชื่อของนักเตะคนนี้ "ลิโอเนล เมสซี่"